Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

James Monroe

ประธานาธิบดี คนที่ 5 ของสหรัฐฯ เจ้าของแนวคิด Monroe Doctrine

มอนโร เกิดวันที่ 28 เมษายน 1758 ในเวสต์มอร์แลนด์เคาน์ตี้, เวอร์จิเนีย (Westmoreland county, Virginia) ครอบครัวของเขาทำการเกษตรมีฐานะปานกลาง ฟาร์มของพวกเขามีขนาดประมาณ 200 เฮกเตอร์  มีทาสอยู่ในการปกครอง 

พ่อของมอนโรชื่อว่าสเปนซ์ (Spence Monroe, 1727-1774) ส่วนแม่ชื่ออลิซาเบธ (Elizabeth Jones, 1730-1772)

บรรพบุรุษของตระกูลมอนโรนั้นอพยพมาจากสก๊อตแลนด์ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 โดยสืบตระกูลมาจากตระกูล Clan Munro ในสก็อต

มอนโรเป็นลูกคนที่สองในพี่น้องทั้งหมดห้าคน ได้แก่ อลิซาเบธ, มอนโร, สเปนซ์, แอนดริว, โจเซฟ 

ในวัยเด็กของมอนโร เขาได้เรียนหนังสือกับมารดาก่อนที่จะเข้าเรียนในโรงเรียน

1769 ตอนอายุ 11 ปี มอนโรเข้าเรียนที่สถาบันแคมเบลล์ทาวน์ (Campbelltown Academy) แต่ว่าเรียนได้แค่สามเดือนก็ต้องออกจากโรงเรียน เพราะว่าที่บ้านต้องการแรงงานไปช่วยงานในฟาร์ม 

1772 แม่ของเขาเสียชีวิต

1774 พ่อของเขาเสียชีวิต  ทำให้ลุงโจเซฟ โจนส์ (Joseph Jones) ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่มอนโร เข้ามาช่วยดูแลหลานๆ 

มอนโร เข้าเรียนที่วิทยาลัยวิลเลี่ยมกับแมรี่ (College of William and Mary) ทางด้านกฏหมาย

1776 ในช่วงสงครามประกาศเอกราช (American Revolutionary War) มอนโร ลาอออกจากวิทยาลัย และเข้าร่วมกับกองพันเวอร์จิเนียที่ 3 (3rd Virginia Regiment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพคอนติเนนตอล (Continental Army) โดยเขาทำงานใต้บังคับบัญชาของกัปตันวิลเลี่ยม วอชิงตัน (William Washington)

ซึ่งหลังจากได้รับการฝึก มอนโรถูกส่งไปปฏิบัติการณ์ในนิวยอร์คและนิวเจอร์ซี แต่ว่าตอนที่เขาไปถึงไม่นาน จอร์จ วอชิงตัน (George Wasington) ก็ได้สั่งถอนกำลังออกจากนิวยอร์ค และถอยร่นไปตั้งทัพใหม่ที่เพนซิลวาเนีย 

ธันวาคม, (Battle of Trenton) มอนโรได้เข้าร่วมในการโจมตีค่ายเฮสเซียน (Hessian encampment) ซึ่งการโจมตีเป็นไปอย่างฉับพลันโดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งรับทำให้ฝ่ายปฏิวัติได้รับชัยชนะ  แต่ว่าในการรบครั้งนี้มอนโรถูกสะเก็ดระเบิดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส  เขาได้รับความชื่นชมในความกล้าหาญอย่างมากจนจอร์จ วอชิงตันเลื่อนยศเขาให้ติดยศกัปตัน 

1777 หลังจากรักษาตัวจนหาย มอนโรกลับเข้าร่วมในการรบอีกครั้ง และได้ร่วมรบในสมรภูมิฟิลาเดนเฟีย (Philadelphia campaign) ช่วงเวลานี้เขาได้รู้จักกับ กิลเบิร์ต ลาฟาเย็ตต์ (Gilbert du Motier, Marquis de Lafayette) ทหารฝรั่งเศสที่ถูกส่งมาช่วยฝ่ายอเมริกาที่เรียกร้องเอกราช แต่ว่าภายหลังลาฟาเย็ตต์กลับไปร่วมทำการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution)

1778 ธันวาคม, มอนโรลาออกจากกองทัพ และกลับไปอยู่กับลุงในฟิลาเดลเฟีย  แต่ว่าเพียงเวาไม่กี่สัปดาห์ต่อมาอังกฤษก็สามารถยึดซาวันน่าห์ (Savannah, Georgia) ในจอร์เจียเอาไว้ได้ ทำให้มอนโรตัดสินใจกลับเข้ารบอีก แต่เขาไม่สมหวังที่อยากจะได้บัญชาการการหน่วยรบของตัวเอง แต่ว่ากลับได้เพียงเป็นที่ปรึกษาให้กับโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียในขณะนั้น 

ตอนนั้นเจฟเฟอร์สันได้สั่งให้ย้ายเมืองหลวงของเวอร์จิเนียไปยังริชมอนด์ (Richmond) ซึ่งมีภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการป้องกันเมืองมากกว่า ซึ่งมอนโรได้ติดตามเจฟเฟอร์สันไปยังริชมอนด์ เขาได้เลื่อนยศเป็นนายพน แต่ว่ายังไม่ได้รับผิดชอบในการดูแลกำลังทหารอย่างที่หวัง เขาทำหน้าที่เพียงสร้างเครื่อข่ายในการสื่อสารระหว่างกองทัพของเวอร์จิเนียเพื่อติดต่อกับกองทัพคอนติเนนตอล

ระหว่างนี้มอนโรยังได้ลงเรียนด้านกฏหมายต่อ ภายใต้การดูแลของโทมัส เจฟเฟอร์สัน 

1782 ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภารัฐเวอร์จิเนีย (Virginia House of Delegates)

1783 ได้เข้าเป็นสมาชิกของสภาทนายความของรัฐเวอร์จิเนีย

พฤศจิกายน, ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสภาสหพันธ์  (Congress of the Confederation)  ซึ่งระหว่างอยู่ในตำแหน่ง มอนโรมีบทบาทในการสนับสนุนให้มีการขยายดินแดนของสหรัฐฯ ไปทางตะวันตก

1786 แต่งงานกับอลิซาเบธ คอร์ทไรซ์ (Elizabeth Kortright) ซึ่งเธอเป็นลูกสาวของฮานน่าห์ (Hannah Aspinwall Kortrigh) กับลอเรนซ์ (Laurence Kortright) พ่อค้าชาวอังกฤษที่มีฐานะร่ำรวย

มอนโรกับอลิซาเบธ มีลูกด้วยกันสามคน คือ อลิซ่า (Eliza Monroe Hay) เจมส์ (James Spence Monroe) และมาเรีย (Maria Hester Monroe) ซึ่งหลังการแต่งงานทั้งคู่ได้ย้ายไปอยู่ที่เฟรเดอริกซ์เบิร์ก (Fredericksburg, Virginia) 

ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ในสภาสหพันธ์ เพื่อมาทำงานด้านกฏหมายจนได้รับแต่งตั้งเป็นอัยการของรัฐ

1787 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภารัฐเวอร์จิเนียเป็นสมัยที่สอง 

1788 เข้าร่วมการาประชุมแห่งรัฐเวอร์จิเนียว่าด้วยการรับรองรัฐธรรมนูญของสหรัฐ (Virginia Ratifying Convention) ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านการรวมกับสหรัฐฯ เช่น จอร์จ เมสัน (George Mason) แพทริคก์ เฮนรี่  (Patrick Henry) โดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ยังขาดกฏหมายว่าด้วยสิทธิพลเมือง มอนโรเองตอนแรกให้การสนับสนุนรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ​ แต่ว่าตอนโหวดเขาเปลี่ยนใจคัดค้านการรับรองรัฐธรรมนูญ  อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ผ่านการรับรองของสภาแห่งรัฐเวอร์จิเนียด้วยคะแนนเสียงชนะเล็กน้อย 

1789 ย้ายไปอยู่ที่ชาร์ล็อตต์วิลล์ (Charlottesvillie, Virginia) 

1790 มอนโร ลงสมัครชิงตำแหน่ง ส.ส. แต่ว่าพ่ายแพ้ให้กับเจมส์ เมดิสัน (James Madison) แต่ว่าหลังการพ่ายแพ้ไม่นานมอนโรก็ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิก  ซึ่งเขาได้เข้าร่วมกลุ่มกับฝ่ายประชาธิปไตย-สาธารณรัฐ (Democrat-Republican Party) กับเจฟเฟอร์สัน และเมดิสันในการต่อต้านนโยบายของจอห์น อดัม (John Adams) ที่เป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งจอห์น อดัมนั้นอยู่ฝ่ายพรรคเฟเดอรัล (Federalist Party) 

1794 ได้รับแต่งงตั้งจากประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน(Geroge washington)ถูกส่งเป็นทูตสหรัฐฯ ไปยังฝรั่งเศส ซึ่งมอนโรเป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) 

1796 กลับมายังสหรัฐฯ​ และได้รับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย

1803 มอนโรมีบทบาทสำคัญในการเจรจาซื้อหลุยส์เซียน่า  (Louisiana) มาจากฝรั่งเศส ในราคา 15 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้พื้นที่ของสหรัฐฯ ขยายขึ้นเท่าตัว

1807 ถูกส่งเป็นทูตไปยังอังกฤษ 

1811 ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีเมดิสัน ให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ 

1812 (War of 1812) มอนโร ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ในช่วงที่สหรัฐฯ ทำสงครามกับอังกฤษ เพราะว่าสหรัฐฯ ต้องการขยายดินแดนไปยังแคนนาดา 

1814 (Treaty of Ghent) สหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่แพ้ในสงคาม 1812 และได้ตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ 

1816 เมื่อประธานาธิบดีเมดิสัน ตัดสินใจไม่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกเป็นสมัยที่ 3 ทำให้มอนโรได้รับการสนับสนุนจากพรรคให้เป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

1817 ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนที่ 5 โดยเอาชนะรูฟัส คิง (Rufus King) ที่เป็นตัวแทนจากเฟเดอรัล , มอนโรนั้นได้เสียงสนับสนุน 183 เสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) ในขณะที่คิงได้ 34 เสียง

เกิดสงครามเซมิโนล (1st Seminole war, 1817-1818)

1819 ผนวกฟลอริด้า (the acquisition of the Floridas from Spain) มาจากสเปน

1820 ลงนามใน the Missouri Compromise ซึ่งเป็นการยอมรับให้พื้นที่เขตมิสซัวรี่ให้เป็นบริเวณที่มีสามารถใช้แรงงานทาสได้  ในขณะที่เมน (Maine) ให้เป็นพื้นที่ที่ห้ามการใช้แรงงานทาส 

1823 2 ธันวาคม, (the Monroe Doctrine) สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นหลักการณ์มอนโร หรือลัทธิมอนโร อันที่จริงก็คือคำแถลงการณ์ต่อรัฐสภาประจำปี (State of the Union Address) ของประธานาธิบดี ซึ่งในช่วงเวลานี้รัฐอาณานิคมของยุโรปในทวีปอเมริกาส่วนใหญ่ได้รับเอกราชหรือกำลังจะได้รับเอกราช  มอนโรจึงเน้นย้ำว่าอเมริกาเป็นโลกใหม่ (New world) และยุโรปนั้นเป็นโลกเก่า (Old world) ซึ่งควรจะแยกออกจากกัน โดยที่ยุโรปไม่ควรจะมีอิทธิพลในการควบคุมอเมริกาอีก และการกระทำใดๆ ก็ตามที่ถือว่าต้องการจะควบคุมอเมริกาให้ถือว่าเป็นภัยคุกคาม

1825 พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากนั้นไปใช้ชีวิตที่บ้านของเขา ซึ่งชื่อว่า Oak Hill ในเวอร์จิเนียตอนเหนือ

1826 ได้รับแต่งตั้งเป็นบอร์ดที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย (University of Virginia) 

ปีนี้สภาคองเกรสยังได้จ่ายเงิน 30,000 เหรียญ เพื่อชำระหนี้สินให้กับมอนโรตามคำเรียกร้องของเขาด้วย มอนโรนั้นมีหนี้สินมากมาย จากการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย  เขาและภรรยมมีรสนิยมในแฟชั่นสไตล์ฝรั่งเศส โดยเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์นั้นต้องสั่งมาจากฝรั่งเศส และภายในบ้านของเขาก็พูดภาษาฝรั่งเศสกับลูกๆ 

1831 สภาคองเกรสอนุมัติเงินอีก 30,000 เหรียญเพื่อชำระหนี้ให้กับมอนโร 

4 กรกฏาคม, เสียชีวิตในนิวยอร์ค ซึ่งตรงกับวันชาติสหรัฐฯ มอนโรถือเป็นบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ คนสุดท้าย มอนโรยังเสียชีวิตตรงกับวันเดียวกับที่โทมัส เจฟเฟอรสัน (Thomas Jefferson) และอดัม (John Quicy Adams) เสียชีวิต

Don`t copy text!