Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Muammar Gaddafi

มูอัมมาร์ กัดดาฟี (Muammar Mohammed Abu Minyar Gaddafi)
กัดดาฟี เกิดราวปี 1940-1943 ภายในกระโจมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านคัสร์ อาบู ฮาดิ (Qasr Abu Hadi)ในเมืองเซอร์ต (Sirte) ขณะนั้นลิเบียอยู่ภายใต้การปกครองของอิตาลี ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 
ครอบครัวของเขาเป็นชาวเบดูอิน เผ่ากาดฮัดฟา (Qadhadhfa Bedouin) เผ่าเล็กๆ ในลิเบียที่ไม่มีอิทธิพลใดๆ
พ่อชื่อว่าโมฮัมหมัด อับดุล ชาลาม (Mohammad Abdul Salad bin Hamed bin Mohammad) และแม่มีชื่อว่าอิชา (Aisha)  พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงแพะและอูฐ ครอบครัวมีฐานะที่ยากจน แต่ว่าพ่อของเขาก็ยังส่งให้กัดดาฟีเข้าเรียนในโรงเรียนประถมได้ ซึ่งการศึกษาในลิเบียขณะนั้นไม่ฟรี กัดดาฟีเรียนหนังสือเก่งเขาจบหลักสูตรประถมหกปีด้วยเวลาเพียงแค่สี่ปี 
ต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ในเมืองชาบฮา (Sabha) ช่วงที่กัดดาฟีเข้าเรียนมัธยม 
1945 เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง  ลิเบียถูกปกครองโดยกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศส โดยสองชาติมหาอำนาจพยายามที่จะแบ่งลิเบียกัน
1948 เกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอล (Arab-Israeli War)
1951 สหประชาติประกาศให้ลิเบียเป็นรัฐอธิปไตย และก่อตั้งเป็นสหราชอาณาจักรลิเบีย (United Kingdom of Libya) โดยมีกษัตริย์ไอดริส ที่ 1 (King Idris I of Libya) เป็นกษัตริย์พระองค์แรกและปกครองประเทศด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
1952 เกิดการปฏิวัติอียิปต์ (Egyptian Revolution of 1952)
1956 เกิดวิกฤตคลองสุเอซ (Suez Crisis) 
1958 อียิปต์ และซีเรีย ร่วมตัวกันเป็นสาธารณรัฐ-สหรัฐอาหรับ (United Arab Republic)
1961 UAR ยุบตัวลง หลังจากที่ประธานาธิบดีนัสเซอร์ ของอียิปต์พยายามรวมอำนาจ ทำให้ชาวซีเรียไม่พอใจที่อียิปต์มีบทบาทมากเกินไป ทหารซีเรียจำนวนหนึ่งจึงได้ทำการรัฐประหารและประกาศแยกซีเรียออกจาก UAR
ตุลาคม, กัดดาฟีนำขบวนเดินประท้วงกษัตริย์ไอดริส จากกรณีที่ซีเรียแยกตัวออกจาก UAR  
หลังการประท้วงครอบครัวของเขาถูกทางการไล่ออกจากเมืองชาบฮา ทำให้กัดดาฟีย้ายไปอยู่ที่มิสราต้า (Misrata) และเข้าเรียนมัธยมต่อที่นั้น ระหว่างเรียนหนังสือเขาหลงไหลแนวคิดของ ประธานาธิบดีเกมาล นัสเซอร์ (Gamal Abdel Nasser) ผู้นำอียิปต์ โดยหนังสือ Philosophy of the Revolution ของนัสเซอร์ เป็นหนังสือเล่มโปรดของกัดดาฟี
1963 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเบนกาซี (Benghazi University) ด้านภูมิศาสตร์ แต่ว่าได้ลาออกก่อนที่จะเรียนจบเพื่อสมัครเข้าเป็นทหาร และเข้าเรียนที่ Royal Military Academy ในเบนกาซี
1964 กัดดาฟี ก่อตั้ง  Free Officers Movement ซึ่งเป็นขบวนการในการเคลื่อนไหวปฏิวัติ
1965 สำเร็จการศึกษา และได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสื่อสาร 
1966 ถูกส่งไปยังอังกฤษเพื่อฝึกเพิ่มเติ่ม
1967 อียิปต์พ่ายแพ้ในสงคราม 6 วัน (Six-day war) ต่ออิสราเอล ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจกษัตริย์ไอดริสในลิเบีย พระองค์ถูกมองว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล  ซึ่งนำไปสู่การประท้วงในกรุงทริโปลีและเบนกาซี  
กัดดาฟีพยายามรวมลิเบีย อียิปต์และซีเรียเข้าด้วยกันเป็นสหพันธ์แต่ว่าไม่สำเร็จ 
ต่อมาเขาพยายามรวมลิเบียกับตูนิเซีย
1969 1 กันยายน, (Operation Jerusalem) เมื่ออายุ 27 ปีกัดดาฟีเป็นผู้นำการรัฐปฏิวัติโค่นกษัตริย์ไอดริส ระหว่างที่พระองค์เสด็จต่างประเทศ โดยการปฏิวัติเป็นไปอย่างเรียบร้อยและไม่มีการนองเลือด 
หลังจากยึดอำนาจได้สำเร็จ กัดดาฟี ได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐอาหรับลิเบีย (Libyan Arab Republic) โดยที่ Free Officers Movement ได้ประกาศตัวเองเป็นสภาบัญญาการปฏิวัติ (Revolutionary Command Council (RCC)) และได้ทำหน้าที่เป็นรัฐบาล โดยที่กัดดาฟีในฐานะประธานของ RCC จึงเสมือนเป็นผู้นำประเทศ โดยที่ Jalloud เป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากมีอำนาจ กัดดาฟีเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจของลิเบียไปในแนวทางของสังคมนิยม ผสมกับกฏหมายชาเรีย (Sharia)  
ระหว่างปี 1969-1973 รัฐบาลจัดการศึกษาให้ฟรี, รักษาพยาบาลฟรี และมีการสร้างบ้านเรือนจำนวนมากให้กับประชาชน 
ธันวาคม, มีการก่อตั้ง Arab Revolutionary Front ร่วมกับอียิปต์และซูดาน  ซึ่งมีเป้าหมายที่จะรวมประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งในปีถัดมา ซีเรีย ได้เข้ารวมกลุ่มด้วย
25 ธันวาคม, กัดดาฟี แต่งงานกับ คาเร็ด ฟาติ นูริ (Khaled Fathi Nuri) ภายหลังทั้งคู่หย่าจากกัน พวกเขามีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อมูฮัมหมัด (Muhammad)
1970 กัดดาฟี ประกาศว่าสัญญาการค้านำ้มันของลิเบียกับบริษัทต่างชาตินั้นไม่เป็นธรรม ซึ่งลิเบียได้ประโยชน์น้อย จึงได้เริ่มนโยบายที่จะธุรกิจน้ำมันกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ
กรกฏาคม, แต่งงานครั้งที่ 2 กับ ฟาริยา ฟาร์คัช  (Safiya Farkash) อดีตนางพยาบาล การแต่งงงานครั้นนี้พวกเขามีลูกด้วยกัน 7 คน ซาอีฟ (Saif al-Islam), ซาดิ (Saadi Gaddafi), ฮันนิบาล (Hannibal Muammar Gaddafi), มุตาซซิม (Mutazzim Bill Baddafi), ซาอีฟ (Saif al-Arab), คามิส (Khamis) และอิชา (Aisha)
พฤศจิกายน, ประธานาธิบดีนัสเซอร์ของอียิปต์เสียชีวิต และอันวาร์ ซาดัต (Anwar Sadat) เป็นผู้นำอียิปต์คนใหม่ ซึ่งความสัมพันธ์กลับลิเบียเสื่อมทรามลงไปเพราะซาดัสหันไปประณีประนอมกับอิสราเอลและตะวันตก
1971 ก่อตั้ง Arab Socialist Union ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ถูกกฏหมายของลิเบีย 
1972 มิถุนายน,ก่อตั้ง First Nasseritem Volunteers Centre  ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกนักรบ สำหรับต่อสู้กับอิสราเอลเพื่อช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์
ธันวาคม, ลิเบียลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับชาด (Chad) หลังจากตัดความสัมพันธ์กันไปหนึ่งปีเพราะประธานาธิบดีทอมบาลบาเย (Tombalbaye) ของชาดกล่าวหาลิเบียและอียิปต์ว่าสนับสนุนการรัฐประหารในชาด แต่ว่ากัดดาฟียอมจ่ายเงิน 40 ล้านปอนด์เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์
หลังจากฟื้นความสัมพันธ์กันแล้ว ลิเบียส่งกองทัพเข้าไปในฉนวนเอาซ์ยู (Aouzou Strip) ทางตอนเหนือของชาด (Chad) ซึ่งลิเบียอ้างกรรมสิทธิมาตลอดโดยอ้างข้อตกลงระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสในปี 1935 กษัติรย์ไอดริสของลิเบียก็เคยส่งทหารบุกเข้าไปยึดฉนวนเอาซ์ยูในปี 1935 แต่ถูกกองทัพฝรั่งเศส (French Colonial Forces) สามารถขับไล่ทหารลิเบียออกมา แต่ว่าการเข้าไปของทหารลิเบียในสมัยของกัดดาฟีเป็นไปอย่างสันติ ซึ่งประธานาธิบดีทอมบาลบาเยเหมือนจะยอมรับในข้อตกลงลับที่ทำกับกัดดาฟีว่าฉนวนเอาซ์ยูเป็นของลิเบีย
1973 กุมภาพันธ์, เครื่องบินรบ F-4 ของอิสราเอล ยิงเครื่องบินพาณิชย์ LN 114 (Libyan Arab Airlines Flight 114) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน บริเวณคาบสมุทรไซนาย ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนที่อิสราเอลยึดครอง
16 เมษายน, กัดดาฟี ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการปฏิวัติ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น Popular Revolution ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การประกาศยกเลิกกฏหมายเดิมทั้งหมดและแทนที่ด้วยกฏหมายซึ่งออกโดยฝ่ายปฏิวัติ, การขจัดฝ่ายต่อการการปฏิวัติ, การปฏิรูปราชการซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องไม่เป็นชนชั้นสูงหรือว่านายทุน, การให้เจ้าหน้าที่คณะปฏิวัติสามารถติดอาวุธเพื่อปกป้องการปฏิวัติ, และสุดท้ายคือการปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งเขาต้องการขจัดวัฒนธรรมต่างชาติที่เปรียบเสมือนยาพิษ
มิถุนายน, Third International Theory กัดดาฟีประกาศแนวคิดทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเขามองว่าทั้งสหรัฐฯ และโซเวียตเป็นจักวรรดินิยม เขาปฏิเสธระบบทุนนิยมแบบตะวันตก ขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธคอมมิวนิสต์แบบยุโรปตะวันตกซึ่งไม่มีศาสนา ไม่เชื่อในพระเจ้า
กัดดาฟีสนับสนุนแนวคิด pan-Arab ซึ่งจะรวมเอาประเทศมุสลิมในอัฟริกาและตะวันออกกลางเข้าด้วยกัน
1974 ประธานาธิบดีฮาบิบ บัวร์กูบา (Habib Bourguiba) แห่งตูนิเซีย (Tunisia) และกัดดาฟี มีแนวคิดที่จะรวมชาติกันเป็นสาธารณรัฐอิสลามอาหรับ (Arab Islamic Repulice) แต่ว่าไอเดียนี้ถูกต่อต้านในตูนิเซีย ไม่นานแนวคิดการรวมประเทศกับลิเยียจึงถูกยกเลิกไป
1975 13 เมษายน, เกิดการรัฐประหารในชาด ประธานาธิบดีทอมบาลบาเย่ถูกโค่น และนายพลเฟลิค มัลลุม (Felix Malloum) ขึ้นเป็นผู้นำ  กัดดาฟีจึงกลับไปให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ FROLINAT ในชาด
กัดดาฟีพิมพ์หนังสือ The Green Book ออกมา เพื่อเผยแพร่แนวคิด Third Internaitonal Theory ซึ่งแบ่งเป็นสามเล่ม พิมพ์ระหว่งปี 1975-1979
สมาชิกของ RCC บางส่วน นำโดยบาเชียร์ อัล-ฮาหวัด (Bashir Saghir al-Hawaad) และโอมาร์ เมฮิชี (Omar Mehishi) พยายามจะทำรัฐประหารโค่นกัดดาฟี แต่ว่าล้มเหลว
1977 2 มีนาคม, ​เปลี่ยนชื่อประเทศลิเบียจาก Libyan Arab Republic เป็น Great Socialist Popular Libyan Arab Jamahiriyah (State of the Masses) ซึ่งนำระบบประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy ~ Jamahiriyah) มาใช้ โดยมีการตั้งสภาพื้นฐาน (Basic People’s Congresses) ซึ่งเหมือนสภาท้องถิ่นที่ประชาชนทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์จะได้เป็นสมาชิกและกำหนดนโยบายกันเอง และมีสถาทั่วไป (General People’s Congress) ที่เป็นสภาสูงสุดในการปกครอง มีตัวแทนที่มาจากสภาพื้นฐานทำหน้าที่รับรองกฏหมายที่เสนอโดยรัฐบาลหรือตัวกัดดาฟีเอง
พฤษภาคม, กัดดาฟี ยุบ RCC ไป
กรกฏาคม, (Libyan-Egyptian war) มีการปะทะกันบริเวณพรหมแดนระหว่างสองประเทศ
1978 แม่ของกัดดาฟีเสียชีวิต
รัฐบาลลิเบียเริ่มโครงการสร้างบ้านให้ทุกครอบครัว 
Camp David Peace Agreement Egypt-Israel
สหรัฐกล่าวหากัดดาฟีว่าให้การสนับสนุนกลุ่ม  FARC ในโคลัมเบีย และ IRA ในไอร์แลนด์เหนือ
1981 เมษายน, กัดดาฟีเดินทางเยือนสหภาพโซเวียต
19 สิงหาคม, สหรัฐยิงเครื่องบิน Su-22 ของลิเบียตกสองลำ (Gulf of Sidra incident) บริเวณอ่าวซีดร้า
1984 เร่ิมโครงการ The Great Man-made River Project (GMRP) ซึ่งเป็นเครื่องข่ายท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ที่ยาวที่สุดในโลก
1985 พ่อของกัดดาฟีเสียชีวิต
1986 Toyata war
5 เมษายน, เกิดระเบิดในไนด์คลับในเบอร์ลิน(1986 Berlin discotheque bombing) ซึ่งทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 2 นาย  ซึ่งลิเบียถูกกล่าวหาจากสหรัฐฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดครั้งนี้
15 เมษายน, (Operation El Dorado Canyon) ประธานาธิบดีโรนับ เรแกน (Ronald Reagan) ของสหรัฐฯ ตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดในกรุงทริโบลีและเบนกาซี ทำให้ชาวลิเบียเสียชีวิตไป 35 คน ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตมีลูกสาวบุญธรรมของกัดดาฟี ชื่อฮันน่า (Hanna) ด้วย
1987 กัดดาฟี ประกาศ “การปฏิวัติในการปฏิวัติ” (Revoluton within a Revolution) ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับปรุงสิทธิมนุษยชนให้กับชาวลิเบีย และต่อต้านการคอร์รัปชั่น 
1988 21 ธันวาคม, เครื่องบินสายการบินแพนแอม 103 (Pan Am Flight 103) ถูกวางระเบิด ระหว่างอยู่เหนือน่านฟ้าล็อคเคอร์บี้, สก็อตแลนด์ (Lockerbie, Scotland) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 270 คน 
โดยอับเดล อัลเมกราฮี (Abdel Basset al-Megrahi) สายลับของลิเบียถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ทางการลิเบียปฏิเสธส่วนเกี่ยวข้องนานหลายปี 
1989 4 มกราคม, (2nd Gulf of Sidra incident) สหรัฐฯ ยิ่งเครื่องบิน MiG-23 ของลิเบียตกอีก 2 ลำ 
ลิเบียตั้งรางวัลกัดดาฟีเพื่อสิทธิมนุษยชน (Al-Gaddafi International Prize for Human Rights) ซึ่งเนลสัน แมนเดล่า (Nelson Mandela) เป็นผุ้ได้รับรางวัลนี้คนแรก
1992 มีนาคม,​องค์การสหประชาติ มีมติที่ 748 ประกาศคว่ำบาตรลิเบีย
2002 กัดดาฟี เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งองค์การสหภาพอัฟริกา (African Union) โดยเขาละทิ้งแนวคิดที่จะรวมชาติกับอาหรับ (pan-Arab) มาสนับสนุนการรวมตัวของชาติแอฟริกา( pan-African) แทน โดยหวังว่าจะมีการรวมกันเป็นสหรัฐแอฟริกา (United States of Africa)
2003 ลิเบียยอมจ่ายค่าชดเชย 10 ล้านเหรียญ ให้กับญาติของผู้เสียชีวิตจากกรณีวางระเบิดสายการบินแพนแอม และยกเลิกโครงการอาวุธเคมีและอาวุธทำลายล้างสูงเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก
2004 รัฐบาลของจอร์จ บุช (George Bush) ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อลิเบีย
2009 Abdel Basset al-Megrahi พ้นโทษและเดินทางกลับลิเบีย โดยที่ทางการลิเบียต้อนรับเขาเยี่ยงวีรบุรุษ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ และอังกฤษไม่พอใจ
กันยายน, กัดดาฟีเดินทางไปสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก เพื่อเข้าร่วมประชุมสามัญองค์การสหประชาชาติ
เขากล่าวในที่ประชุมเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าชดเชย 7.7 ล้านล้านเหรียญแก่ชาติอัฟริกาที่เคยถูกล่าอาณานิคม
2010 สิงหาคม, เดินทางไปอิตาลี
ธันวาคม, อาหรับสปริง (Arab Spring) เริ่มต้นขึ้นในตูนิเซีย 
2011 17 กุมภาพันธ์,​ เกิดการประท้วงใหญ่ในลิเบียซึ่งตะวันตกอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์อาหรับสปริงที่ประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชั่น แต่ว่ากัดดาฟีบอกว่ากลุ่มอัลเกด้าห์ (al-Qaeda) ที่มีสายสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการประท้วง ซึ่งรัฐบาลลิเบียได้ปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน ฝ่ายต่อต้านกัดดาฟี ได้รวมกันตั้งสภาเพื่อถ่ายโอนอำนาจ (National Transitional Council, NTC) โดยที่กาตาร์, ฝรั่งเศส, และสหรัฐอาหรับอิมิเรตต์ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธกับ NTC
มีนาคม, คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาติประกาศเขตห้ามบิน (no fly zone) เหนือลิเบีย ซึ่งไม่นานหลังประกาศเขตห้ามบิน นาโต้ (NATO) ได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีกรุงทริโบลี
27 มิถุนายน, ศาลโลก ออกหมายจับกัดดาฟี
21 สิงหาคม, กลุ่มกบฏบุกเข้ากรุงทริโปลีได้สำเร็จ
25 สิงหาคม, สันนิตบาตอาหรับรับรอง NTC ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องของลิเบีย
20 ตุลาคม, ในตอนเช้าขบวนรถของกัดดาฟีในเมืองซีร์ตี ถูกเครื่องบินของนาโต้ทิ้งระเบิด จนกัดดาฟีได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ เขาพยายามหนีเข้าไปในหมู่บ้านใกล้เคียง แต่ก็ถูกกบฏจับเป็นเชลย กัดดาฟีถูกทรมาน ถูกของมีคมแทงเข้าที่หลังหลายแห่ง  ซึ่งตอนที่เขาถูกทรมานนั้นมีการบันทึกวีดีโอเอาไว้ด้วย จากนั้นกัดดาฟีถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปยังเมืองมิสราต้า (Misrata) ซึ่งเมื่อมาถึงปรากฏว่ากัดดาฟีได้เสียชีวิตแล้ว
โดยกบฏชื่อ ซีนัด เอล-อุเรย์บิ (Senad el-Sadik el-Ureybi) ประกาศตัวว่าเป็นคนยิงกัดดาฟีที่ช่องท้องซึ่งเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิต
ศพของกัดดาฟี พร้อมลูกชายอาบู จาบร์ (Abu-Bakr Yunis Jabr) ถูกนำใส่ตู้เย็นในตลาดสดในเมืองเพื่อให้ประชาชนเข้ามาดูเป็นเวลากว่าสี่วัน ก่อนที่นานาชาติจะเรียกร้องให้ยุติการกระทำดังกล่าว 
25 ตุลาคม, NTC ประกาศว่าได้ฝังศพของกัดดาฟีแล้วในสถานทีที่ไม่เปิดเผย
…..
สุนทรพจน์ กัดดาฟี 11 สิงหาคม 2011 (last formal testament)
….
เวลากว่า 40 ปี ช่างเป็นเวลาที่แสนนาน, ข้าพเจ้าเองก็ไม่อาจจะจำได้ทั้งหมด, ข้าพเจ้าได้พยามอย่างสุดความสามารถในการมอบบ้านให้แก่ประชาชน, โรงพยาบาล, โรงเรียน, และเมื่อไรที่พวกเขาหิว ข้าพเจ้าก็มอบอาหาร , ข้าพเจ้าเปลี่ยนเมืองเบนกาซีจากทะเลทรายให้การเป็นไร่นา   ข้าพเจ้าลูกขึ้นสู้กับ โรนัล์ด เรแกน เจ้าคาวบอย ก็เมื่อตอนที่ลูกสาวบุญธรรมของข้าพเจ้าถูกมันฆ่าตาย, และมันยังคิดจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย, เมื่อไม่สำเร็จมันก็ฆ่าเด็กยากจนที่บริสุทธิ์  ข้าพเจ้าพยายามช่วยเหลือเด็กชายและเด็กหญิงในอัฟริกาด้วยการมอบเงินมากมายให้กับ สหภาพแอฟริกา (African Union)
ข้าพเจ้าพยายามอย่างมากในการช่วยเหลือให้ประชาชนเข้าใจแนวคิดที่แท้จริงของประชาธิปไตย, ซึ่งจะต้องมีคณะผู้แทนจากปวงชนเข้ามาบริหารประเทศ  แต่ว่าสิ่งนั้นยังไม่เพียงพอ มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า ต่อให้ประชาชนมีบ้านที่มีสิบห้อง มีเสื้อใหม่และเครื่องใช้ พวกเขาก็ยังไม่เพียงพอ เพราะความโลภนั้นทำให้พวกเขาต้องการไม่สิ้นสุด มีคนบอกข้าพเจ้าว่าอเมริกันและผู้มาเยือนนั้น ต้องการ “ประชาธิปไตย” และ “เสรีภาพ” แต่ไม่เคยตระหนักเลยว่าระบบนั้นเหมือนเครื่องประหาร ที่สุนัขตัวใหญ่จะกินสุนับที่เหลือ ขณะที่พวกเขากำลังพูดอย่างสวยหรูอยู่นี้ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าในสหรัฐฯ ที่นั่นไม่มียาฟรี, ไม่มีโรงพยาบาลฟรี, ไม่มีบ้านฟรี ไม่มีการศึกษาฟรี และไม่มีอาหารฟรี … ยกเว้นเสียแต่ประชาชนจะออกมาเป้นขอทานข้างถนนหรือเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อรอซุปสักด้วย
  ไม่, มันไม่สำคัญว่าข้าพเจ้าได้สร้างคุณูปการสิ่งใดไว้บ้าง มันไม่มีความหมายกับคนบางกลุ่ม, แม้มันจะมีความหมายกับคนอื่นๆ ก็ตาม  พวกเขารู้ว่าข้าพเจ้านั้นเป็นลูกของ เกมาล นัสเซอร์ (Gamal Abdel Nasser) ข้าพเจ้าเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่เป็นอาหรับและมุสลิมอย่างแท้จริงนับตั้งแต่ ชาลาฟ์-อัล-ดีน (Salah al Deen) ผู้ซึ่งอ้างกรรมสิทธิในคลองสุเอช เพื่อประชาชน ดังเช่นที่ข้าพเจ้าอ้างกรรมสิทธิในลิเบียเพื่อประชาชนของข้าพเจ้าเช่นกัน  นั้นเป็นรอยเท้าที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นจะเจริญรอย  เพื่อปลดปล่อยประชาชนของข้าพเจ้าให้เป็นอิสระจากการถูกปกครองด้วยพวกล่าอาณานิคม  จากหัวขโมยซึ่งลักทุกสิ่งไปจะพวกเรา
บัดนี้, ข้าพเจ้ากำลังถูกโจมตีจากกองทัพซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์, จากบุตรเชื้อสายอัฟริกันเอง, โอบาม่า ต้องการที่จะฆ่าข้าพเจ้า , แย่งยิงเอาเสรีภาพไปจากแผ่นดินของพวกเรา, แย่งเอาบ้านฟรี, ยาฟรี, การศึกษาฟรี, อาหารฟรี ออกไปแล้วแทนที่ด้วยระบบการลักขโมยแบบอเมริกันที่เรียนว่า “ทุนนิยม”  แต่ว่าพวกเราทุกคนในประเทศโลกนี้สามล้วนประจักษ์แจ้งอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร, มันแปลกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จะมีหน้าที่บริหารประเทศ, บริหารโลก และทุกข์สุขของประชาชน
ขอให้เจตุจำนงค์ของข้าพเจ้านี้เป็นเสียงที่เล่าขานไปสู่ชาวโลก, ข้าพเจ้ากำลังต่อสู้กับนักรบครูเสด อย่างนาโต้  ข้าพเจ้ากำลังเผชิญหน้าต่อความอำมหิต , ท้าทายต่อการทรยศหักหลัก ข้าพเจ้ากำลังท้าทายต่อตะวันตกและความโลภโมโทสันในการล่าอาณานิคม และข้าพเจ้านั้นก็กำลังยึดหยัดขึ้นโดยมีพี่น้องชาวอัฟริกันอยู่เคียงข้าง, พี่น้องอาหรับและมุสลิมที่เทียงแท้ของข้าพเจ้า ซึ่งเปรียบประดุจแสงของดวงประทีป
ในขณะที่ซึ่งคนอื่นกำลังสร้างปราสาท, ข้าพเจ้าเพียงแค่อาศัยอยู่ในบ้านที่พอประมาณ สลับกับนอนเต้นท์  ข้าพเจ้าไม่เคยลืมชีวิตในวัยเด็กตอนที่อาศัยอยู่ในซีร์ต (Sirte) ข้าพเจ้าไม่เคยใช้จ่ายงบประมาณจากคลังของชาติไปอย่างโง่เชลา, และเช่นเดียวกับชาลาฟ์-อัล-ดีน , ผู้นำมุสลิมผุ้ยิ่งใหญ่, ข้าพเจ้าพยายามปกป้องกรุงเยรูซาเล็มไว้สำหรับชาวมุสลิม … มีเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ข้าพเจ้าทำเพื่อตนเอง

ในโลกตะวันตกนั้น มีคนเรียกข้าว่า “บ้า” , “คลั่ง” แม้ว่าพวกเขาจะรู้ความจริงอยู่แล้วแต่ก็ยังคงโป้ปดต่อไป, พวกเขารู้ว่าประเทศของพวกเรานั้นมีอธิปไตยและเสรี, ไม่ใช่เมืองขึ้นของใครอีก, นั้นเป็นวิสียทัศน์ของข้าพเจ้า, เส้นทางของข้าพเจ้า ซึ่งมันชัดเจนแจ่มชัดเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะขอต่อสู้จนกระทั้งลมหายใจสุดท้ายในการรักษาเสรีภาพไว้ให้อยู่กับพวกเรา, ขอพระอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่จงอำนวยพระพรให้พวกเราสามารถรักษาศรัทธาและเสรีภาพเอาไว้ได้ 
Don`t copy text!