Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Adolf Hitler

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์  (Adolf Hitler)
พ่อของฮิตเลอร์ชื่อเอลัวส์ (Alois Hitler, 1837-1903) เกิดในปี 1937 เอลัวส์เป็นลูกนอกสมรสของมาเรีย แอนนา (Maria Anna Schcklgruber) กับชายปริศนาที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร 
1942 10 พฤษภาคม, มาเรีย แอนนา ได้แต่งงานกับ โจฮันน์ จอร์จ เฮียดเลอร์ (Johann Georg Hiedler, 1792-1857)  
1847 มาเรีย แอนนา เสียชีวิต
1856 โจฮันน์ จอร์จ เฮียดเลอร์ เสียชีวิต ,  เอลัวส์ จึงได้รับการอุปการะจากน้องชายของโจฮันน์ ที่ชื่อโจฮันน์ เนโปมุก เฮียดเลอร์ (Johann Nepomul Hiedler) แทน
1876 ใบทะเบียนของโบสถ์ในพิธีแบ๊พติส ของเอลัวส์ ​, บาทหลวงได้มีการใส่ชื่อ โจฮันน์ จอร์จ เฮียดเลอร์ ว่าเป็นพ่อของเอลัวส์ แต่ชื่อของโจฮันน์ จอร์จ ในใบทะเบียน สะกดเป็น Georg Hitler , นามสกุลของพวกเขาจึงสะกดทั้งสองแบบนับตั้งแต่นั้น 
ฮัน แฟรงค์ (Hans Frank) นายพลชาวโปแลนด์ และทนายของฮิตเลอร์  ซึ่งถูกใช้ให้พิสูจน์ว่าฮิตเลอร์ไม่ใช่ยิว ได้สืบค้นประวัติของมาเรีย แอนนา และได้ตั้งข้อสังเกตุว่าเธอเคยเข้าไปทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านของชาวยิว ในเมืองกราซ (Graz) ก่อนที่จะตั้งท้องเอลัวส์ และคาดว่าพ่อที่แท้จริงของเอลัวส์ คือยิวชื่อ เลฟโปลด์ แฟรงเคนเบอร์เกอร์ (Leopold Frankenberger หรือ Frankenreiter) ลูกชายของเจ้าของบ้าน ซึ่งขณะนั้นเลฟโปลด์ อายุ 19 ปี  ภายหลังฮัน แฟรงค์ เขียนหนังสือ In the Face of the Gallow
หลังจากมาเรีย แอนนา รู้ตัวว่าตั้งครรภ์เธอก็ออกจากงานและเดินทางกลับบ้าน
อีกทฤษฏีหนึ่งที่บอกว่าฮิตเลอร์มีเชื้อสายของยิว นั้นอ้างว่าตอนที่มาเรีย แอนนา ตั้งครรภ์เอลาอย นั้นเธอไปทำงานเป็นหญิงรับใช้อยู่ในเวียนนา ในบ้านของบารอน โรธชิลด์ (Baron Rothschild) หลังเธอตั้งครรภ์เธอก็รีบกลับมาบ้านเกิด
……..
แม่ของฮิตเลอร์ชื่อคลาร่า (Klara Peltsl, 1860-1907) คลาร่าเป็นภรรยาคนที่สามของเอลัวส์ เธอมีลูกหกคน แต่ว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีชีวิตจนกระทั้งเป็นหนุ่มสาว คือฮิตเลอร์กับน้องสาว พอลล่า  (Paula)
ฮิตเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1889 ในเมืองเบรานัว แอม อิน (Braunau an Inn, Austria) ขณะนั้นเป็นดินแดนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี  เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้กับพรหมแดนเยอรมัน  ฮิตเลอร์เป็นลูกคนที่สี่ของพี่น้องทั้งหมดหกคน 
1892 เมื่อฮิตเลอร์อายุได้ 3 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ในเมืองปัสซัว (Passau, German) เยอรมัน
1894 ครอบครัวย้ายบ้านอีกครั้ง มาอยู่ที่เมืองลีออนดิง (Leonding) 
1895 เอลัวส์เกษียณงาน เขาซื้อที่ดินผืนเล็กในฮาเฟล์ด (Hafeld) ใกล้กับแม่น้ำทราอุน (Traun) ทำเกษตรและเลี้ยงผึ้ง แต่ว่ากิจการก็ประสบความล้มเหลวในเวลาไม่นาน
1897 ครอบครัวย้ายมาอยู่ในแลมบัค (Lambach)  ช่วงเวลานี้ฮิตเลอร์มีอายุได้ 8 ปี และเริ่มเข้าโบสถ์ เขาได้รับการฝึกร้องเพลง และเป็นนักร้องประสานเสียงให้กับโบสถ์ โดยที่ตัวเขาเองมีความต้องการที่จะเป็นนักบวช
1898 ครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองลีออนดิง เอลัวส์ได้งานใหม่เป็นเจ้าหน้าที่ในกรมศุลฯ
, ปีนี้น้องชายของฮิตเลอร์ที่เขาสนิทด้วยมาก ชื่อเอ็ดมุนด์ (Edmund) เสียชีวิตจากโรคหัด ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจมาก
เอลัวส์ ซึ่งประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ของเขา มีความปรารถนาให้ฮิตเลอร์ยึดอาชีพแบบเขา แต่ว่าฮิตเลอร์นั้นอยากจะเป็นศิลปิน เรื่องนี้ทำให้พ่อลูกมีความขัดแย้งกันรุนแรง
1900 ฮิตเลอร์ถูกพ่อบังคับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนบุนเดสเรียลจิมเนเซียม  (Bundesrealgymnasium Linz, fadi.at)ในเมืองลินซ์ (Linz)  แต่ว่าฮิตเลอร์มีผลการเรียนไม่ดีและไม่ตั้งใจเรียน แต่ว่าเขาชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่สอนโดยฟรานซ์ ชวาร์ซ (Franz Sales Schwarz) และชอบอ่านหนังสือของคาร์ล เมย์ (Karl May)
ช่วงเวลานี้ความรู้สึกของเขาเริ่มพัฒนาเป็นพวกชาตินิยมเยอรมัน เขาต่อต้านราชวงศ์ฮับสเบิร์ก (Habsburg Monarchy) ที่ปกครองออสเตรีย-ฮังการี และในหมู่เพื่อนๆ ด้วยกัน เขาจะใช้คำทักทายว่า “Heil” และร้องเพลง Deutschlandlied เพลงชาติเยอรมัน
1903 3 มกราคม, เอลัวส์ พ่อของฮิตเลอร์เสียชีวิต  
ฮิตเลอร์ซึ่งมีผลการเรียนไม่ดีจึงได้รับอนุญาตจากแม่ของเขาให้ลาออกจากโรงเรียน
1904 กันยายน,  แม่ส่งฮิตเลอร์เข้าเรียนที่โรงเรียนในสเตย์ร (Steyr) แต่ว่าการเรียนก็ไม่ดีขึ้น
1905 ออกจากโรงเรียนและกลับไปอยู่บ้านที่ลินซ์ ช่วงเวลานี้เขาได้อ่านบทความของ Georg von Schonerer นักเขียนที่ต่อต้านยิว 
ไม่นานฮิตเลอร์เดินทางไปยังเวียนนา โดยได้ทำงานเป็นกรรมกรทั่วไปและเป็นช่างทาสี แต่ว่ายังขอรับเงินช่วยเหลือจากแม่ของเขาด้วย
ฮิตเลอร์สมัครเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะเวียนา (Vienna Academy of Fine Arts) แต่ว่าถูกปฏิเสธ
1906 จากหนังสือ Adlof Hitler, My Childhood Friend เขียนโดยออกัส คุบิเซก (August Kubizek) เพื่อนตั้งแต่วัยเด็กของฮิตเลอร์ บอกว่าฮิตเลอร์ตกหลุมรักครั้งแรกกับผู้หญิงชื่อสเตฟานี อิแซ็ก (Stefanie Isak) แต่ว่าเป็นไปแอบรักอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ได้บอกให้เธอรู้
1907 21 ธันวาคม, แม่ของฮิตเลอร์เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ก่อนแม่ของฮิตเลอร์จะเสียชีวิตเธอได้รับการดูแลจากหมอชาวยิวชื่อ เอ็ดดูอาร์ด บล๊อช (Eduard Bloch) ที่โรงพยาบาลในลินซ์ ตอนนั้นหมอมีการใช้ไอโดฟอร์ม (Idoform) เป็นเคมีบำบัด ฮิตเลอร์นั้นกลับมาอยู่กับแม่ตั้งแต่เดือนตุลาคมและคอยดูแลเธอจนกระทั้งเสียชีวิต 
หลังมารดาเสียชีวิ ทำให้ฮิตเลอร์ที่ไม่มีเงินพอ เขาต้องดำรงชีวิตแบบคนเร่ร่อน เขาได้รับเงินสงเคราะห์จากเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้าเดือนละ 25 คราวน์ (crowns)
ช่วงเวลานี้ในเวียนนา มีกระแสการต่อต้านยิวสูง เนื่องจากปัญหาผู้อพยพ และผู้ว่าของเมืองชื่อ คาร์ล ลูเจอร์ (Karl Lueger) ก็จุดกระแสการต่อต้านชาวยิว  และยังมีผลงานของนักเขียนอีกหลายคนอย่าง Guido von List, Brigitte Hamann, และหนังสือแม็กกาซีน Ostara ของจอร์จ ลิเบนเฟลส์ (Jorg Lanz von Liebenfel)
ในหนังสือ Mein Kampf ที่เขียนโดยฮิตเลอร์ อ้างว่า ตัวของเขาเองพัฒนาแนวคิดต่อต้านยิวระหว่างที่อยู่ในเวียนนานี้
1913 เขาได้ทรัพย์สินมรดกจากพ่อมาส่วนหนึ่ง เขาจึงย้ายไปอยู่ในมิวนิค เชื่อกันว่าเพราะเขาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์เป็นทหารให้กับกองทัพออสเตรีย ในมิวนิคฮิตเลอร์ยังคงทำงานเป็นนักวาดภาพ 
1914 สิงหาคม, ช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 ฮิตเลอร์ได้อาสาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบาวาเรีย (Bararian Army) ฮิตเลอร์ได้อยู่ในหน่วยกำลังพลสำรองที่  16 (reserve Infantry Regiment 16) และถูกส่งไปประจำการณ์ในแนวรบตะวันตกซึ่งเผชิญหน้ากับฝรั่งเศสและเบลเยียม เขาร่วมในการรบในหลายสมรภูมิ อาทิ สมรภูมิสมเม่ (Battle of the Somme) , สมรภูมิอาร์ราส (Battle of Arras)  ช่วงปลายปีเขาจึงได้รับเหรียญกล้าหาญ Iron Cross ชั้นที่ 2
1916 ตุลาคม, ระหว่างการรบที่สมเม่ เขาได้รับบาดเจ็บจากระเบิด และต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลนานกว่าสองเดือนที่โรงพยาบาลในบีลิตซ์ (Beelitz)
1917 มีนาคม, กลับมาประจำการณ์รบอีกครั้งหนึ่ง
1918 ตุลาคม, ได้รับแก๊สมัสตาร์ด (mustard gas) ระหว่างการรบ ทำให้ตาของเขาบอดชั่วคราว และถูกนส่งไปรักษาในโรงพยาบาลในเพสวอร์ค (Pasewalk) ซึ่งระหว่างที่รักษาตัวอยู่นี้เขาก็ได้รับข่าวว่าสงครามสิ้นสุดลงโดยที่เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้
1919 เยอรมันทำสนธิสัญญาแวร์ไซล ( Treaty of Versailles) เป็นการยุติสงครามโลก ครั้งที่ 1 ลง
หลังสงคราม ฮิตเลอร์กลับมาอยู่ในมิวนิค และได้เข้าทำงานกับหน่วยสืบราชการลับ Reichswehr ซึ่งเขาได้แฝงตัวเข้าไปในพรรค German Workers’ Party (DAP) แต่ว่าฮิตเลอร์กลับนิยมชมชอบแอนตัน เดร็กเลอร์ (Anton Drexler) ผู้นำของพรรค DAP ที่เป็นนักชาตินิยม, ต่อต้านยิว, คอมมิวนิสต์และทุนนิยม
12 กันยายน, ฮิตเลอร์สมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรค DAP ตามคำชักชวนของเดร็กเลอร์ 
ภายในพรรค DAP ฮิตเลอร์ยังได้รู้จักกับเอ็กการ์ต (Dietrich Eckart) หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค และยังเป็นผู้นำของลัทธิ Thule Society 
1920 พรรค DAP ถูกยุบไป เดร็กเลอร์, และฮิตเลอร์ จึงได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคใหม่คือพรรคนาซี (National Socialist German Workers’ Party, NSDAP) โดยที่เดร็กเลอร์เป็นหัวหน้าพรรค และฮิตเลอร์เป็นรองหัวหน้าพรรค
31 มีนาคม, ฮิตเลอร์ลาออกจากองทัพ 
1921 มิถุนายน, มีความพยายามของสมาชิกพรรค NSDAP บางกลุ่มที่ต้องการให้พรรครวมตัวเข้ากับพรรคคู่แข่ง คือพรรค German Socialist Party (DSP) แต่ว่าฮิตเลอร์ซึ่งทราบข่าวภายหลังโกรธมากและประกาศลาออกจากพรรค  ตอนนั้นฮิตเลอร์กลายเป็นสัญลักษณ์และนักปราศรัยคนสำคัญของพรรคแล้ว สมาชิกของ NSDAP จึงกังวลว่าถ้าเสียฮิตเลอร์ไป พรรคอาจจะสลายไปเลยก็ได้ , ฮิตเลอร์ได้ยืนข้อเสนอว่าเขาจะต้องได้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนเดร็กเลอร์เท่านั้น เขาถึงจะอยู่ในพรรคต่อไป 
29 กรกฏาคม, ฮิตเลอร์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค NSDAP 
พรรคนาซี เริ่มมีการใช้กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง Stormtroopers (Sturnmabteilung, SA) ในการโจมตีและทำร้ายคู่แข่งทางการเมือง 
1923 8 พฤศจิกายน, ปฏิวัติโรงเบียร์ (Beer Hatt Putsh) ฮิตเลอร์ให้การสนับสนุนนายพลอีริช ลูเดนดอร์ฟ (General Erich Ludendorff) ในความพยายามทำการปฏิวัติในบาวาเรีย ฮิตเลอร์นำกลุ่มผู้สนับสนุนเดินเท้าไปยังกระทรวงกลาโหมของบาวาเรีย แต่ว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปราบปราม
11 พฤศจิกายน, ฮิตเลอร์ซึ่งหลบหนีอยู่ ถูกกุมตัวได้ ,อัลเฟรด โรเซนเบิร์ก (Alfred Rosenberg) จึงขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค NSDAP ชั่วคราว 
1924 1 เมษายน, ศาลตัดสินลงโทษจำคุกฮิตเลอร์เป็นเวลาห้าปี เขาถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำแลนด์สเบิร์ก (Landsberg Prison) ซึ่งระหว่างที่อยู่ในเรือนจำฮิตเลอร์ใช้เวลาเขียนหนังสือ Mein Kampf และยังได้รับอนุญาตให้เขียนจดหมายติดต่อกับผู้สนับสนุนได้
20 ธันวาคม, ศาลฏีกาตัดสินให้อภัยโทษ ทำให้ฮิตเลอร์ได้รับการปล่อยตัว  
แต่ว่าฮิตเลอร์ถูกทางการสั่งห้ามไม่ได้กล่าวปราศรัยทางการเมืองจนกระทั้งปี 1927
1925 7 เมษายน, ฮิตเลอร์สละสัญชาติออสเตรีย โดยที่ตัวเขาเองยังไม่ได้รับสิทธิเป็นพลเมืองเยอรมัน ตัวเขาเองนั้นอยู่ในสถานะคนไร้สัญชาติอีก 7 ปีต่อมา
ที่บ้านของฮิตเลอร์ , เกลี่ รัวบาล (Geli Raubal) ญาติห่างๆ ของฮิตเลอร์ เธอมีอายุน้อยกว่าฮิตเลอร์ 19 ปี ได้เข้ามาอาศัยด้วย โดยแม่ของเธอมาทำงานเป็นแม่บ้านให้กับฮิตเลอร์ ความสัมพันธ์ของฮิตเลอร์ กับเกลี่ ไม่แน่ชัด แต่ลือกันว่าฮิตเลอร์หลงรักเด็กคนนี้ และอาจจะมีความสัมพันธ์กัน 
1926 ฮิตเลอร์ได้พบกับไรเตอร์ (Maria Reiter) ในร้านขายของแห่งหนึ่งในเมืองโอเบอร์ซัลซ์เบิร์ก (Obersalzberg)  ขณะนั้นฮิตเลอร์อายุ 37 ปีแล้ว ขณะที่ไรเตอร์อายุ 16 ปี
ไรเตอร์เล่าความสัมพันธ์ของเธอกับฮิตเลอร์ไว้ในหนังสือแม็กกาซีน Stern ว่าในคืนที่พบกันนั้น ฮิตเลอร์ซึ่งกำลังเป็นนักการเมืองดาวรุ่งในเยอรมัน ได้ชวนเธอออกไปข้างนอก และขอมีความสัมพันธ์ด้วย แต่ว่าเธอปฏิเสธ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้จูบกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ออกเดทด้วยกันหลายหน ฮิตเลอร์ให้คำมั่นกับเธอว่าจะขอเธอเป็นภรรยา แต่ว่าต่อมาฮิตเลอร์ได้หายไปจากชีวิตของเธอ จนทำให้เธอเป็นโรคซึมเซาและในปี 1928 ไรเตอร์พยายามฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอ แต่ว่าญาติของเธอช่วยชีวิตเอาไว้ได้ หลังจากนั้นเธอมีโอกาสพบฮิตเลอร์อีกครั้งเดียวในปี 1934 ฮิตเลอร์บอกกับเธอว่าที่ไม่อาจรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอได้ เพราะเขามีภาระกิจใหญ่ที่ต้องทำ
1929 24 ตุลาคม, ตลาดหุ้นวอลสตรีทในสหรัฐฯ เกิดร่วงอย่างหนัก เป็นสัญญาณของวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่  (Great depression) ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก ในเยอรมันเองก็มีคนงานตกงานหลายล้านคน ฮิตเลอร์จึงอาศัยจังหว่าะนี้ในการโจมตีรัฐบาล และให้สัญญาว่าจะมีการยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ไซย์
1929 ตุลาคม, ฮิตเลอร์ได้พบกับอีว่า เบราน์ (Eva Bruan) ที่สตูดิโอของฮอฟแมนน์ (Heinrich Hoffmann)  ในเมืองมิวนิค ฮอฟแมนน์นั้นเป็นช่างภาพให้กับพรรค NSDAP ฮอฟแมนน์นั้นจ้างอีว่ามาเป็นพนักงานของร้าน และผู้ช่วยในการถ่ายภาพ , อีว่า นั้นอายุน้อยกว่าฮิตเลอร์ 23 ปี , เบราน์เคยพยายามฆ่าตัวตายหลายหนตลอดช่วงเวลาที่คบหาอยู่กับฮิตเลอร์
1930 การเลือกตั้งในปีนี้ พรรค NSDAP ได้รับเสียงสนับสนุน 18.3%
1931 กันยายน, เกลี่ รัวบาล ฆ่าตัวตายในอพาร์ตเม้นท์ของฮิตเลอร์ในมิวนิค โดยใช้ปืนของฮิตเลอร์ หลังจากเกลี่ เสียชีวิต ฮิตเลอร์มีอาการซึมเซา และหมั่นพบกับอีว่า เบราน์มากขึ้น
1932 พรรค NSDAP เสนอชื่อฮิตเลอร์เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แข่งกลับพอล ฮินเดนเบิร์ก (Paul von Hindenburg) จากพรรค DNVP (German National People’s Party) , แม้ว่าครั้งนี้เขาจะแพ้ แต่พรรค NSDAP ได้รับคะแนนเสียง 37.3% เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก
ปีนี้หนังสือพิมพ์ในต่างประเทศพากันรายงานข่าวว่าฮิตเลอร์มีเชื้อสายของชาวยิว  ฮิตเลอร์จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อสืบประวัติของตัวเองเพื่อตอบคำถามสังคม  โดยฮันส์ แฟรงค์ (Hans Frank) เป็นหัวหน้าทีมสอบสวน 
ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังสือพิพม์ในเยอรมัน พากันตีภาพถ่ายสุสานของยิวคนหนึ่งชื่ออด๊อลฟ ฮิตต์เลอร์ (Adolf Hittler ชื่อยิวว่า อัฟราแฮม (Avraham Eyliyohn)) ในสุสานบูคาเรสต์ (Bucharest cemetery)  โดยหนังสือพิมพ์ยิวในโปแลนด์ชื่อ Hyant ตั้งข้อสังเกตุว่าคนๆ นี้คือปู่ของฮิตเลอร์
1933 30 มกราคม, ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์ก แต่งตั้งฮิตเลอร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากรับตำแหน่งฮิตเลอร์ได้ขอให้ ปธน.ฮินเดนเบิร์ก ยุบสภาเพื่อทำการเลือกตั้งใหม่ เพราะเขาหวังที่จะได้รับเสียงข้างมาในสภา
27 กุมภาพันธ์, ที่ทำการรัฐสภาถูกเพลิงไหม้ (Reichstag Fire) ฮิตเลอร์ได้อาศัยโอกาสนี้โจมตีฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นคนวางเพลิง และฮิตเลอร์เรียกร้องให้ประธานาธิบดีออกกฤษฏีกาเพื่อที่แบนคอมมิวนิสต์ ซึ่ง ปธน.ไฮดินเบิร์กได้ตรากฏหมาย Reichstag Fire Decree ตามคำเรียกร้องของฮิตเลอร์ ทำให้ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ถูกจับกุมตัวไปหลายพันคน
6 มีนาคม, NSDAP ชนะในการเลือกตั้งโดยได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน 43.9%
24 มีนาคม, ประธานาธิบดีไฮดินเบิร์ก ลงนามรับรองกฏหมาย The Enabling Act  ซึ่งกฏหมายพิเศษนี้อนุญาตให้คณะรัฐมนตรีสามารถออกกฏหมายใหม่มาบังคับใช้ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องผ่านรัฐสภา
29 มิถุนายน, ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์ก ลาออกจากตำแหน่ง เพราะถูกกดดันจากฮิตเลอร์
30 มิถุนายน, Nigh of the Long Knives (30 มิ.ย.-2 ก.ค.)  ฮิตเลอร์สั่งกวาดล้างคู่แข่งทางการเมืองครั้งใหญ่ รวมถึงแกนนำของกลุ่ม SA ที่ฮิตเลอร์เคยใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายคู่แข่ง โดยมีทั้งที่ถูกจับและถูกยิงทิ้ง
13 กรกฏาคม, กฎหมายใหม่ผ่านออกมา โดยประกาศให้พรรค NSDAP เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฏหมายเพียงพรรคเดียว 
ตุลาคม, เยอรมันถอนตัวออกจากองค์การสันนิตบาตชาติ (League of Nations)
1934 ช่วงฤดูร้อน ฮิตเลอร์ได้พบกับยูนิตี้ มิตฟอร์ด (Unity Mitford) หญิงจากตระกูลขุนนางของอังกฤษ ที่มาเรียนภาษาอยู่ในเมืองมิวนิค ที่พักของเธออยู่ใกล้กับที่ทำการของพรรค NSDAP , ฮิตเลอร์บรรยายถึงมิตฟอร์ด ว่าเป็น ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหญิงอารยัน (a perfect specimen of Aryan womanhood)  มิตฟอร์ดกลายเป็นผู้สนับสนุนฮิตเลอร์และนาซี และยังต่อต้านยิวเช่นเดียวกับฮิตเลอร์
พวกเขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนานกว่า 5 ปี  จนกระทั้งเมื่ออังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันในปี 1939  มิตฟอร์ดซึ่งอยู่ในเยอรมันได้ยิงตัวตายโดยยิงปืนเข้าที่ศรีษะ  แต่เธอไม่เสียชีวิต กระสุนฝังอยู่ในศรีษะ  , หลังรักษาตัวในโรงพยาบาลฮิตเลอร์ได้ส่งตัวเธอกลับอังกฤษ 
1 สิงหาคม, กฏหมายใหม่  Law Concerning the Highest State Office of the Reich  ได้ยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดี และมอบอำนาจดังกล่าวให้กับนายกรัฐมนตรี ทำให้ฮิตเลอร์กุ่มอำนาจในประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
3 สิงหาคม, ฮิตเลอร์ตั้งจาลมาร์ (Hjalmar Schacht)  เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เขามีส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของเยอรมันเวลานั้นเป็นอย่างมาก ด้วยการพิมพ์เงินออกมาสนันสนุนโครงการก่อสร้างมากมายในประเทศ ทำให้ปัญหาการวางงานที่รุ่นแรงบรรเท่าลง จากจำนวนคนว่างงานหกล้านคน ลดลงเหลือแค่หนึ่งล้านคนในปี 1936
1935 มกราคม, ดินแดนแซร์แลนด์ (Saarland) ของเยอรมัน ที่ตกอยู่ภายใต้กองกำลังของสันนิษบาตชาติ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ลงประชามติกลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน
มิถุนายน, เยอรมันทำข้อตกลงด้านกองทัพเรือกับอังกฤษ (Anglo-German Naval Agreement) โดยให้คงอัตรากองทัพเรือของเยอรมันไม่เกิน 35% ของกองทัพเรืออังกฤษ
เยอรมันเพิ่มกำลังทหารเป็นจำนวน 600,000 นาย จำนวนสูงสุดตามสนธิสัญญาแวร์ไซน์
1936 โอลิมปิกในเบอร์ลิน , ฮิตเลอร์เป็นประธาน
มีนาคม, เยอรมันส่งทหารเข้าไปในเขตปลอดทหารในไรน์แลนด์ (Rhineland) ซึ่งละเมิดสนธิสัญญาแวร์ไซน์
กรกฏาคม, เยอรมันส่งทหารเข้าไปยังเสปน เพื่อสนับสนุนนายพลฟรานซิสโก้ ฟรานโก้ (General Francisco Franco)
25 ตุลาคม, เยอรมันจับมือเป็นพันธมิตรกับอิตาลี
เศรษฐกิจของเยอรมันในปีนี้เริ่มกลับมาย่ำแย่อีกครั้ง เพราะรายจ่ายในการปรับปรุงกองทัพของฮิตเลอร์จำนวนมาก 
25 พฤศจิกายน, เยอรมันตกลงเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น (Anti-Comintern Pact)
1937 ทีมสอบสวนของฮันส์ แฟรงค์ ที่ฮิตเลอร์ตั้งให้ไปสอบประวัติของตระกูลเขานั้น ได้พิมพ์รายงานออกมาก
1938 12 มีนาคม, ฮิตเลอร์ประกาศรวมออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน
30 กันยายน,ข้อตกลงมิวนิค (Munich agreement)  เยอรมันผนวกเอาดินแดนบางส่วนของเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งมีชาวเยอรมันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเข้ามา ข้อตกลงนี้ได้รับการรับรองจากฝรั่งเศส, อิตาลีและอังกฤษ  
ปลายปี ฮิตเลอร์ได้รับเลือกจากนิตยสาร Time ให้เป็นบุคคลแห่งปี
1939 15 มีนาคม, ฮิตเลอร์ส่งทหรบุกปกรุงราก (Prague) ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงมิวนิค ฮิตเลอร์เองได้เดินทางไปยังปราก และใช้ปราสาทปราก (Prague Castle) ในการประกาศให้โบฮีเมีย (Bohemia) และโมราเวีย (Moravia) เป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมัน
28 มีนาคม, ฮิตเลอร์ยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือด้านกองทัพเรือกับอังกฤษ เพราะว่าไม่พอใจที่อังกฤษให้ความคุ้มครองโปแลนด์   วันเดียวกันฮิตเลอร์ก็ได้ยกเลิกข้อตกลงไม่รุกรานซึ่งกันและกันระหว่างเยอรมันกับโปแลนด์ (German-Polish Non-Aggression Pact)
23  สิงหาคม, (Molotov-Ribbentrop Pact) เยอรมันทำข้อตกลงกับสหภาพโซเวียต อย่างลับๆ เพื่อเปิดทางให้เยอรมันบุกโปแลนด์ โดยมีการตกลงแบ่งดินแดนโปแลนด์ระหว่างสองประเทศ
1 กันยายน, เยอรมันบุกโปแลนด์ตะวันตก
3 กันยายน, อังกฤษและฝรั่งเศประกาศสงครามกับเยอรมัน
17 กันยายน, สหภาพโซเวียตบุกโปแลนด์ตะวันออก
หลังจากยึดโปแลนด์ได้แล้วฮิตเลอร์ได้ตั้ง Albert Forster และ Arthur Greiser ให้มาบริหารโปแลนด์
โดยที่ไกร่เซอร์ ได้ริเริ่มการฆ่าล้างชาวยิวในโปแลนด์ (Holocast)
วิลเลี่ยม ฮิตเลอร์ (William Patrick Hitler) หลานชายของฮิตเลอร์ซึ่งเกิดและโตในอังกฤษ  , วิลเลี่ยมเคยเดินทางจากอังกฤษมาเยอรมันในปี 1933 ตอนที่ฮิตเลอร์กำลังขึ้นสู่อำนาจ  เขาได้แบล๊คเมล์ให้ฮิตเลอร์หางานดีๆ ให้เขาทำ ไม่อย่างนั้นเขาจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับประวัติครอบครัวที่ยืนยันว่าตระกูลนั้นมีเชื้อยิว ฮิตเลอร์นั้นหางานให้วิลเลี่ยมทำตามที่เขาต้องการ โดยได้งานที่ธนาคารและต่อมามาทำงานที่โรงงานรถยนต์โอเปิ้ล  แต่ว่าวิลเลี่ยมไม่ได้พอใจกับงานที่ทำ ในปี 1938 เขาจึงขู่ฮิลเลอร์อีก แต่ฮิตเลอร์แนะนำให้เขากลับมาถือสัญชาติอังกฤษเพื่อแลกกลับงานดีๆ  วิลเลี่ยมกลัวว่าจะเป็นกับดัก เขาหนึกลับมาอังกฤษ และปี 1939 นี้ได้เขียนบทความชื่อ Why I Hate My Uncle ตีพิมพ์ลงในหนังสือ Look
1940 เมษายน, กองทัพเยอรมันบุกเดนมาร์กและนอร์เวย
9 เมษายน, ฮิตเลอร์ประกาศตั้งอาณาจักรไรซ์ (Greater Germanic Reich)
พฤษภาคม, เยอรมันบุกฝรั่งเศส, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม
22 มิถุนาย, ฝรั่งเศสลงนามสนธิสัญญา armistice 
29 กันยายน, ญี่ปุ่น, อิตาลี และเยอรมัน ทำสนธิสัญญาไตรปาร์ตี้ (Tripartite Pact) ตกลงเป็นพันธมิตรกัน 
1941 22 มิถุนายน, (Operation Barbarossa) เยอรมันโจมตีสหภาพโซเวียต 
7 ธันวาคม, ญี่ปู่นโจมตีฮาวาย ของสหรัฐฯ ทำให้อีกสี่วันต่อมาเยอรมันประกาศสงครามอย่าเป็นทางการกับสหรัฐฯ 
ปีนี้ฮิตเลอร์ได้รับสุนับเยอรมันเชเฟิร์ด ตัวหนึ่งเป็นของขวัญจากมาร์ติน บอร์แมนน์ (Martin Bormann)  ฮิตเลอร์ตั้งชื่อมันว่าบลอนดิ (Blondi)
1943 มุโสลินี ถูกโค่นออกจากอำนาจ และจอมพลปิเอโตร (Marshal Pietro Badoglio) ขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่ ซึ่งไม่นานอิตาลีก็ยอมแพ้ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
20 กรกฏาคม, (July Plot, Operation Valkyrie) มีความพยายามลอบสังหารฮิตเลอร์ โดยนายพลโอบริชต์ (Gen. Friedrich Olbricht) พลเอก เทรสค์โกว (Major Gen. Henning von Tresckow) และพลโทคาร์ล (Colonel Clause von Stauffenberg)  โดยวางระเบิดในห้องประชุมที่วูล์ฟแลร์ (Wolf’s Lair) ฐานทัพลับของเยอรมันในปรัสเซียตะวันออก แต่ว่าล้มเหลว
1945 เมษายน, กองทัพแดงบุกเข้ากรุงเบอร์ลิน 
29 เมษายน, ตอนเที่ยงคืน  ฮิตเลอร์ แต่งงานกับอีว่า ภายในบังเกอร์ที่หลบภัย (Führerbunker) ใต้สวนสาธารณะไรช์แชนเซลล์รี่ (Reich Chancellery )
30 เมษายน, ฮิตเลอร์ยิงตัวตาย ในขณะที่เบราน์กินไวยาไนด์ จนเสียชีวิต  หลังจากนั้นศพได้ถูกนำออกไปไปที่สวนสาธารณะไรช์แชนแซลล์รี่และถูกเผาทำลาย
บลอนดิ สุนัขของฮิตเลอร์ซึ่งอยู่กับเขาด้วยในหลุมหลบภัย ถูกฟริตซ์ ตอร์นาว (Fritz Tornow) นายทหารซึ่งมีหน้าที่ดูแลบลอนดิ นำไปยิงทิ้งในสวนสาธารณะ พร้อมกับลูกของบลอนดิชื่อวูล์ฟ (Wulf) 
ไม่นานทหารของกองทัพแดงได้มาถึงจุดที่ศพถูกเผา และได้เก็บกระโหลกศรีษะและขากรรไกรกลับไปเป็นหลักฐานว่าฮิตเลอร์ได้เสียชีวิตแล้ว
ตอนที่เยอรมันพ่ายแพ้สงคราม เรือดำน้ำ U-530 ลำหนึ่งของเยอรมันไม่ยอมแพ้ด้วย กัปตันของเรือชื่ออ๊อตโต้ เวอร์มุท (Oberleutnant Otto Wermuth) ได้รับคำสั่งให้นำเรือมุ่งหน้าไปยังอาร์เจนติน่า และเรือไปถึงอาร์เจนติน่าที่เมือง มาร์ เดล พลาต้า (Mar del Plata) ในวันที่ 10 กรกฏาคม 1945 หลังจากนั้นก็มีข่าวลือว่ามีคนพบฮิตเลอร์ และอีว่า ในอาร์เจนติน่า
ทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดและหลักฐานของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ชี้ว่าฮิตเลอร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอาร์เจนติน่าจนกระทั้งเสียชีวิตด้วยโรคชรา
………
หนังสือ In the Face of the Gallow เขียนโดยฮันส์ แฟรงค์ (Hans Frank)  นายพลโปแลนด์ และเป็นทนายของฮิตเลอร์ ซึ่งฮิตเลอร์ใช้ให้ไปสอบความเป็นมาของตระกูลของเขา แฟรงค์นั้นถูกตัดสินประหารชีวิตในการสอบคดีนูเรมเบิร์ก (Nuremberg trial) หลังเยอรมันแพ้สงคราม หนังสือเล่มนี้แฟรงค์เปิดเผยว่าฮิตเลอร์มีเชื้อยิว , หนังสือบอกว่าเอลัวส์ พ่อของฮิตเลอร์นั้นเกิดในหมู่บ้านกลางป่าของออสเตรีย ใกล้กับเชคโกสโลวาเกีย  เอลัวส์นั้นถูกฝึกให้เป็นช่างทำรองเท้า
ส่วนหมู่บ้านที่แม่ของฮิตเลอร์เกดนั้นก็อยู่ในป่า บรรพบุรุษคนหนึ่งของเธอชื่อโจฮันน์ ซาโลมอน (Johannn Salomon) ก็มีเชื้อยิว  หลังจากฮิตเลอร์ผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมันแล้ว งานแล้วที่ฮิตเลอร์ทำคือการลบหมู่บ้านนี้ออกจากแผนที่
หนังสือ Hitler’s Ashes โดย ดร.โอเวิร์ด บูชเนอร์ (Howord A. Buechner) ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane)  และเป็นอดีตทหารในของทัพเรือสหรัฐฯ เล่าว่า เมื่อศพของฮิตเลอร์ถูกเผาแล้ว ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งนำเอาอัษฐิของเขาหนีออกจากเยอรมัน ทหารคณะนี้รู้จักชื่อกลุ่มของพวกเขาว่า The Hartmann Expedition ตามชื่อของกัปตันเรือ U-530 พลโท แม็กซิมิเลียน อาร์ตแมนน์ (Col Maximilian Hartmann)  นอกจากนั้นอัษฐิของฮิตเลอร์แล้วยังมีของมีค่าอีกหลายอย่างรวมถึง Holy Lance หอกซึ่งเชื่อกันว่าใช้แทงพระเยซู โดย Spear of Destiny ที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในเวียนนา (Schatzkammer Museum) นั้นเป็นของปลอมที่ถูกสร้างขึ้น ทหารกลุ่มนี้ทำตามความประสงค์ของฮิตเลอร์ คือเอาอัษฐิของเขาไปเก็บไว้ในนิวสวาเบีย (New Swabia, Neuschwabenland) ดินแดนในแอนตาร์ติกก้า ซึ่งนาซีเคยส่งคณะสำรวจเข้าไป , หลังจากฝังอัษฐิของฮิตเลอร์ไว้ในถ้ำที่นิวสวาเบียแล้ว เรือ U-530 จึงได้มุ่งไปอาร์เจนติน่า และยอมมอบตัวที่นั่น ในขณะทีหอกศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่ายังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในยุโรป
หนังสือ Adolf Hitler, Founder of Israel โดยเฮนเป๊ก คาร์เดล (Henpeck Kardel) คาร์เดลเป็นลูกของนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน รูดอล์ฟ คาร์เดล (Rodolf Kardel) เขาจบจากมหาวิทยาลัยก่อนที่จะไปทหารในกองทัพเยอรมันที่รบอยู่ในรัสเซียและบอลข่าน
……
2009 มีการนำกระโหลกศรีษะที่เชื่อกันว่าเป็นกระโหลกของฮิตเลอร์ซึ่งรัสเซียเก็บเอาไว้ ไปตรวจสอบโดยมหาวิทยาลัยคอนเนคติคัต (University of Connecticut) แต่ว่าผลออกมาว่ากระโหลกดังกล่าวเป็นกระโหลกของมนุษย์ผู้หญิง อายุน้อยกว่า 40 ปี อย่างไรก็ดีชิ้นส่วนขากรรไกรที่รัสเซียเก็บไว้ ไม่ได้ถูกนำมาตรวจสอบด้วย ชิ้นส่วนกรามของฮิตเลอร์ รัสเซียเคยนำไปให้ Kathe Heusermann ทัตแพทย์ประจำตัวของฮิตเลอร์ดูแล้วว่าเป็นฟันของเขาจริงหรือไม่

2010 มีการตรวจดีเอ็นเอจากน้ำลายของญาติของฮิตเลอร์  39 คน โดยมหาวิทยาลัยแคโธริก (Catholic Universtiy of Leuven)  และพบว่าพวกเขามีโครโมโซม Haplogroup E1b1b1 ยีนส์ซึ่งพบในชาวยิว 5-30% ,  ซึ่งพอจะคาดได้ว่า ฮิตเลอร์ ไม่ใช่ อารยันบริสุทธิ์ และเขามีเชื้อยิว
Don`t copy text!