Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Ivan Bagramyan

อิวาน เบแกรมยัน (Иван Баграмяна)

เบแกรมยันเป็นจอมพลคนหนึ่งของสหภาพโซเวียต มีชื่อเสียงในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2

เบแกรมยัน เกิดเมื่อนที่ 2 ธันวาคม  1897 ในหมู่บ้านชาร์ดัคลู (Chardakhlu village) ใกล้กับเมืองเยลิซาเวตโพล (Yelizavetpol) บริเวณเทือกเขาคอเคซัส ปัจจุบันหมู่บ้านที่เขาเกิดอยู่ในประเทศอาร์เซอร์ไบจัน พ่อของเขาชื่อคาชาเตอร์ (Khachatur) และแม่ชื่อมาเรียม (Mariam) พ่อทำงานเป็นแรงงานก่อสร้างรางรถไฟ ครอบครัวมีฐานะยากจน เบแกรมยันมีพี่น้องรวมตัวเขาด้วย 7 คน
เมื่อยังเล็กเขาเรียนหนังสือที่โรงเรียนโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในเมืองเยลิซาเวตโพล
1907 เข้าเรียนที่วิทยาลัยการรถไฟ (Railway College) ในกรุงทิฟลิส (Tiflis, Georgia) จอร์เจีย
1912 หลังจบจากวิทยาลัยได้เข้าเรียนที่สถาบันเทคนิค
1915 จบการศึกษาโดยได้รับวุฒิด้านวิศวกรรม และในปีเดียวกันเขาได้อาสาสมัคเข้าเป็นทหาร ในหน่วยทหารคอเคซัสแนวหน้า ที่ 2 (2nd Caucasus Frontier Regiment) ซึ่งขณะนั้นกำลับรบกับทหารของอ๊อตโตมัน (Ottoman Empire) ที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณดังกล่าว
1917 เขาเรียนจบจากสถาบันทหารทิฟลิส (Tiflis Paraporshik Academy)
ช่วงการปฏิวัติในรัสเซีย เบแกรมยันให้การสนับสนุนพรรคแดชนัก (Dasknak party) ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมอาร์เมเนีย ซึ่งช่วงการปฏิวัติทำให้อาร์เมเนียประกาศตัวเป็นเอกราชจากจักรวรรดิรัสเซีย เบแกรมยันยังเข้าเป็นทหารให้กับกองทัพอาร์เมเนียที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลซิลิกยัน (Silikyan)

1920 เกิดการประท้วงใหญ่ในกองทัพของอาร์เมเนียต่อรัฐบาล ซึ่งเบแกรมยันก็ให้การสนับสนุนฝ่ายประท้วง ทำให้เขาตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกของกองทัพแดง เบแกรมยันมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งกองทัพของฝ่ายโซเวียตขึ้นในตอนเหนือของอาร์เมเนียและจอร์เจีย
1922 แต่งงานกับทามาร่า (Tamara Hamayakovna) หญิงม่ายคนหนึ่งที่เสียสามีของเธอไปเพราะสงคราม พวกเขามีลูกชายด้วยกันชื่อโมเสส (Moses)
1923 ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารม้าเลนินก้า (Leninokan Cavalryy Regiment) ในอาร์เมเนีย
1924 เมื่อสงครามกลางเมืองในรัสเซียสิ้นสุดลง เขาถูกส่งเข้าฝึกที่โรงเรียนทหารม้าในเลนินกราด
1925 กลับมาประจำการณ์ในหน่วยเลนินก้า
1931 ได้รับเลือกให้เข้าศึกษาที่สถาบันฟรุนซ์ (Frunze Military Academy)
1934 สำเร็จการศึกษาจากฟรุนซ์

1936 ช่วงที่สตาลินทำการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองครั้งใหญ่ (Great Purge) เบแกรมยันตกเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกสงสัยว่าเขาอาจจะยังให้การสนับสนุนกองทัพอาร์เมเนียอยู่ แต่ว่าเบแกรมยันได้รับความช่วยเหลือจากมิโกยัน (Anastas Mikoyan) หนึ่งในโพลิตบุโรของโซเวียตในเวลานั้น  ทำให้หมายจับที่ออกให้เพื่อจับตัวเบแกรมยันถูกยกเลิก และเบแกรมยันได้รับการอภัยโทษ
ไม่นานเบแกรมยันได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนที่สถาบันทหาร (Military Academy of the Soviet General Staff)
1937 น้องชายของเบแกรมยันถูกตั้งข้อหาเป็นศัตรูของรัฐ (an enemy of the state) เบแกรมยันเองก็พยายามให้ความช่วยเหลือน้องชายทุกวิถีทางแต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จ เบแกรมยันยังถูกลงโทษในข้อหาเป็นญาตกับผู้ต้องหารร้ายแรง จนเขาถูกปลดจากกองทัพ
หลังการออกมาใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากอยู่พักหนึ่ง เบแกรมยันและนายทหารที่ถูกปลดพร้อมกับเขาได้ตัดสินใจเดินทางไปยังเครมลิน, มอสโคว์เพื่อเข้าพบกับโวโลชิลอฟ (Klimnent Voroshilov) รัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น ซึ่งในตอนแรกเหล่านายทหารที่ถูกปลดไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ แต่พวกเขาตัดสินใจยืนรอไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้รับโอกาสให้เข้าพบ  และเบแกรมยันได้กับเข้าทำงานสายงานด้านทหารอีกครั้งโดยเป็นอาจารย์สอนที่สถาบันทหาร
1940 ซูคอฟ ได้รับแต่งตั้งเป็นเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารในเขตของกรุงเคียฟ เบแกรมยันจึงได้เขียนจดหมายไปหาอาจารย์เก่าของเขาว่าเขามีความปรารถนาจะเข้าทำงานในกองทัพอีกครั้งในตำแหน่งอะไรก็ได้
หลังจากได้รับจดหมายฉบับดังกล่าว ซูคอฟได้แต่งตั้งให้เบแกรมยันมาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของกองทัพโซเวียตหน่วยที่ 12 (Soviet 12th Army) ซึ่งประจำการณ์อยู่ในยูเครน
1941 22 มิถุนายน, กองทัพนาซีเยอรมันละเมิดข้อตกลงโมโลตอฟ-ลิปเบนตรอฟ (Molotov-Ribbentrop pact) โดยส่งทหารบุกสหภาพโซเวียต
ช่วงเดินสิงหาคม เบแกรมยันออกรบในปฏิบัติการเพื่อปกป้องกรุงเคียฟ แต่ว่าก็เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้และเมืองถูกเยอรมันยึดไป เบแกรมยันซึ่งหน่วยของเขาถูกตัดขาดจากกองทัพที่เหลือ เขาจึงได้พาทหารกว่าสองหมื่นนายถอยหนึ ซึ่งได้รับการยอมรับเพราะสามารถช่วยให้ไม่สูญเสียทหารจำนวนมากไป
6 พฤศจิกายน, เขาได้รับเหรียญรางวัล the Order of the Red Banner
ไม่นานเขาถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยของจอมพลทิโมเชนโก้ (Marshal Semyon Timoshenko) ซึ่งกำลังรบอยู่ที่รอสตอฟ (Rostov) ช่วงเวลานี้เขามีโอกาสได้ทำการรบร่วมกับครุสเชฟ (Nikita Khrushchev) ด้วย
27 ธันวาคม, Battle of Moscow , เบแกรมยันมีส่วนสำคัญในการวางแผนในการรับมือนาซีระหว่างการบุกยึดมอสโคว์ เขาได้รับการเลือกยศเป็น พล.ตรี ระหว่างการรบในครั้งนี้

1942 มิถุนาน, ซูคอฟที่เห็นความสามารถของเขาได้แต่งตั้งให้เขาบัญญาการกองทัพที่ 16 (16th Army) ซึ่งรบในแนวรบตะวันตก
เมื่อเขาควบคุมกองกำลังที่ 11 (11th Army) ระหว่างการรบที่เคิร์ซ (Battle of Kursk) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงคราม เบแกรมยันได้ดำเนินปฏิบัติการตอบโต้ที่ใช้รหัส “Kutuzov” ที่สามารถทำให้กองทัพที่ 11 สามารถรุกกินพื้นที่เข้าไปในฝ่ายที่นาซียึดครองได้กว่า 70 กิโลเมตร ปฏิบัติการนี้ทำให้เขาได้เลือกยศเป็น พล.โท
1943 ระหว่างที่เขาเป็นผู้บังคัญบัญชาหน่วยทหารองค์รักษ์ ที่ 11 (11th Guard Army)  กองทหารของเขาได้ไปถึงยังหมู่บ้านชื่อโคชุโกโว่ (Kochukovo village) ทหารในหน่วยของเขาได้พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุ 11 ปี และได้นำตัวกลับมายังค่าย เด็กคนนี้มีชื่อว่าเอฟอนย่า ไฟร์สอฟ (Afonya Firsov) น้องคนนี้หนีออกมาจากบ้านของตัวเองเพื่อจะขอเข้าร่วมกับกองทัพ
1945 เบแกรมยันนำกองทัพเคลื่อนไปในแนวตะวันออกของปรัสเซีย และในวันที่ 9 พฤษภาคม กองทัพเยอรมันในแลตเวีย (Latvia) และคาลินินกราด (Kaliningrad) ได้ยอมจำนนต่อเขา
เมื่อสงครามโลกสิ้นสุด เด็กชายไฟร์สอฟ ถูกนำตัวร่วมเดินขบวนพาเหรดฉลองการสิ้นสุดสงครามในมอสโคว์ด้วย เบแกรมยันให้การดูแลไฟร์สอฟ จนกระทั้งเขาเรียนจบจากสถาบันทหารซุโวรอฟ (Suvorov Military Academy) เป็นหนึ่งในนักเรียนดีเด่นของสถาบัน

หลังสงครามโลกเบแกรมยันอยู่ในตำแหน่งในกองทัพภูมิภาคบอลติค (Baltic Military Disrict)
1955 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองรัฐมนตรีกลาโหมและเป็นผู้อำนวยการของสถาบันทหาร (Military Academy of the General Staff)
1968 เกษียณจากราชการ
1982 21 กันยายน, เสียชีวิตในมอสโคว์

Don`t copy text!