Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

มาว์ลาน่า ญะลัล อัล-ดิน มูฮัมหมัด รูมิ (Mawlana Jalal al-Din Muhammad Rumi)
กวีเอกแห่งเปอร์เซีย
ประวัติของรูมิ ที่เรารู้จักถูกเขียนไว้ในหนังสือ Manāqib ul-Ārifīn   ของ ชามส์ อุดิจ อาห์เมด อฟลากี (Shams ud-Din Ahmad Aflāki)ซึ่งเขียนขึ้นระหว่างปี 13181353 
รูมิเกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 1207 ในเมืองบาลค์  เขตวาค์ช ซึ่งขณะนั้นเป็นบริเวณของอาณาจักรเปอร์เซีย (Balkh,Wakhsh,  Afghanistan/Tajikistan)  ปัจจุบันอยู่ในอัฟกานิสถานและทาจิกิสถาน
พ่อของรูมิ ชื่อว่า บาฮา อัต-ดิน วาลาด (Bahā ud-Dīn Walad)  เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักกฏหมาย อยู่ในวาค์ช ซึ่งผู้ติดตามของรูมิ เรียกพ่อของรูมิว่า สุลต่าน อัล-อุลาม่า (Sultan al-Ulama หรือ Sultan of the Scholars) 
ตามประวัติมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อว่าครอบครัวเขาสืบเชื้อสายมาจากกาหริบ อาบู บาค์ร (Caliph Abu Bakr)
และมีทั้งที่เชื้อว่าเขาเป็นเชื้อสายในราชวงศ์ควาราซเมียน  (Khwarazmian dynasty) แห่งเปอร์เซีย ซึ่งนับถือนิกายซุนนี 
แต่สมมุติฐานทั้งสองข้อนี้ขาดหลักฐานที่เพียงพอ
แม่ของรูมิ ชื่อว่ามุมีน่า คาตัน (Mu’mina Khātūn)
12151220 เปอร์เซียถูกรุกรานโดยมองโกล ทำให้พ่อของรูมิ พาครอบครัวหนีภัยสงครามมุ่งหน้ามาทางตะวันตก 
ระหว่างที่เดินทางมาถึงเมืองนิชาเปอร์ (Nishapur, Khorasan, Iran) ในอิหร่านปัจจุบัน  ซึ่งระหว่างการอพยพนี้พวกเขาได้พบกับปราชญ์คนหนึ่งของเปอร์เซีย ชื่อว่า อัตต้า (Farid al-Din Attar) เขาได้พบรูมิ และได้เดินมาที่รูมิ ซึ่งยังเด็ก และทำนายว่า “นี่จะเป็นทะเลและจะกลายเป็นมหาสมุทร / Here comes a sea followed by an ocean” แล้ว อัตต้า ได้มอบหนังสือบทกวี Asrar-nama ให้แก่รูมิ 
จากนิชาเปอร์ พวกเขาเดินทางต่อไปยังแบกห์แดด (Baghdad,Iraq) จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังเซจาซ (Hejaz, Saudi) เพื่อจะเดินทางไปแสวงบุญที่เมกกะ 
สุดท้ายแล้วพวกเขามาปักหลักอยู่ที่เมืองการามาน (Karaman,Anatolai อยู่ในตุรกีปัจจุบัน) นานกว่า 7 ปี ซึ่งแม่ของรูมิเสียชีวิตที่เมืองการามานนี้
1225 รูมิ แต่งงานกับ โกวฮาร์ คาตัน (Gowhar Khatun) พวกเขามีลูกชายด้วยกันสองคน คือ สุลต่านวาลาด (Sultan Walad) และ อลา-เอ็ดดิน ชาลาบิ  (Ala-eddin Chalabi) แต่ต่อมาหลังจากโกวฮาร์ เสียชีวิต รูมิ ได้แต่งงานใหม่ และมีลูกอีกสองคน ผู้ชายชื่อ เอมีร์ ชาลิบิ (Amir Alim Chalabi) และลูกสาวชื่อ มาลาเคห์ คาตัน (Malakeh Khatun)
1228 1 พฤษภาคม พวกเขามาปักหลักอยู่ในเมืองคอนย่า (Konya, Turkey) ซึ่งบาฮา อัต-ดิน พ่อของรูมิ ได้ทำงานเป็นคุณครูใหญ่ที่โรงเรียนสอนศาสนา(madrass) แห่งหนึ่ง
1232 รูมิมีอายุ 25 ปี ตอนที่พ่อของเขาเสียชีวิต ทำให้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่ง โมลวิ (Molvi ครูสอนศาสนา) ต่อจากบิดา โดยที่ลูกศิษย์คนหนึ่งของพ่อเขาชื่อว่า ซาย์เยด เบอร์ฮัน อุด-ดิน มุฮากกิก เทอร์มาซิ (Sayyed Burhan ud-Din Muhaqqiq Termazi) เป็นคนที่ช่วยสอนหลักศาสนาอิสลามให้กับเขา โดยที่เป็นแนวคิดแบบนิกายสุฟิซิม (Sufism)
1240 เบอร์ฮัน อุด-ดิน เสียชีวิต  ทำให้รูมิ กลายเป็นผู้นำสวดในมัสยิตในเมืองคอนย่า 
1244  ชามส์ อี ทาบริซิ (Shams e Tabrizi) เดินทางเข้ามาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองคอนย่า โดยที่เขาอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อค้าเร่ โดยที่ทาบริซีมีท่าทีเหมือนกำลังตามหาอะไรอยู่ … 
15 พฤศจิกายน ขณะที่รูมิกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
  ทาบริซีก็เดินเข้ามาทักเขา “ท่านกำลังอ่านอะไร ?" 
รูมิ ตอบว่า "บางอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ”
ได้ยินดังนั้นทาบริซีก็คว้าหนังสือของรูมิมา แล้วโยนมันลงไปในสระน้ำ  , รูมิเห็นหนังสือตกลงไปในน้ำก็ตกใจ และรีบหยิบมันขึ้นมา แต่ปรากฏว่าหนังสือที่หล่นลงน้ำนั้นกลับแห้งสนิท 
รูมิจึงหันไปถามด้วยความสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรกัน
 ชามส์ก็ตอบว่า “มาว์ลาน่า, นั้นแหละคือสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ”
….อีกเวอร์ชั่นหนึ่งเล่าเหตุการณ์ที่สองคนพบกันว่า
ชามส์เดินผ่านรูมิที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วก็ทักว่า “ท่านกำลังอ่านอะไรอยู่” แต่รูมิคิดว่าทาบริซีไม่รู้หนังสือ จึงตอบว่า “บางอย่างที่ท่านคงไม่เข้าใจหรอก”  และทันใดนั้นหนังสือที่รูมิถืออยู่ก็รุกติดไฟ … รูมิจึงหันไปถามทาบริซีว่าเกิดอะไรขึ้น ชามส์จึงตอบบว่า “บางอย่่างที่ท่านไม่เข้าใจ”
เมื่อทั้งสองได้สนทนากัน ทาบริซีจึงบอกว่า เขาได้ยินเสียงเหมือนว่ามาจากในหัว บอกว่าให้ตามหา จาลัล อุด-ดิน แห่งคอนย่า (Jajal ud-Din of Konya)
ทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนกัน และชามส์ได้รับยกย่องว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับรูมิในการกลายมาเป็นนักกวี 
1248  5 ธันวาคม รูมิ และชามส์นั่งคุยกันอยู่ในเวลากลางคืน ตำนานเล่าว่าชามส์ได้ยินเสียงเรียกให้เดินไปที่ประดูด้านหลังที่พัก จากนั้นเขาก็หายตัวไปตลอดกาล , บางคนสงสัยว่าเขาถูกฆาตกรรมโดยลูกชายของรูมิ ที่ชื่อ อลา อัดข-ดิน (Ala eddin)
รูมิ เสียใจต่อการสูญเสียเพื่อนของเขาไปมาก  จนทำให้เขาพลั่งพรูแต่งหนังสือชื่อ Divan-e Shams-e Tabrizi (The Works of Shams of Tabrize) มันเป็นหนังสือรวมบทกวีของรูมิ กว่า 40,000 บทประพันธ์ เขียนด้วยภาษาเปอร์เซียใหม่ (ภาษาอิหร่าน) 
หลังจากชามส์หายตัวไป รูมิเคยออกตามหาเขาไปจนถีงดามัสกัน (ซีเรีย) แต่ก็ไม่พบ
ชีวิตต่อมา รูมิ กลับมาสอนหนังสือ และได้พบกับสหายสนิทใหม่ ๆ รวมถึงมีลูกศิษย์คนโปรด ชื่อ อัสซาม อี ชาลาบิ (Hussam-e Chalabi) ซึ่งวันหนึ่งทั่งสองคนเดินทางเข้าไปในไร่องุ่นชานเมืองคอนย่า และอัสซามก็ถามขึ้นมาว่า ทำไมท่าน(รูมิ) ไม่ลองเขียนหนังสือแนวอย่าง Ilāhīnāma หรือไม่ก็ Mantiq ut-Tair (The Conference of the Birds)   ซึ่งทั้งสองเล่มเป็นบทกวีแต่งโดยอัตตาร์ กวีที่เคยมอบหนังสือให้รูมิตอนเด็ก… อัสซามอยากให้มีคนเอาผลงานของรูมิไปทำเป็นดนตรีเพื่อขับร้องบ้าง  … รูมิได้ยินอย่างนั้น ก็เลยหยิบชิ้นกระดาษขึ้นมา แล้วเริ่มเขียน Masnavi  ไว้ในกระดาษแผ่นนั้น 18 บรรทัดในวันนั้น
Masnavi เป็นผลงานที่รูมิเขียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอีก 12 ปีต่อมา มีความยาวกว่า 27,000 บรรทัด จนมันถูกแบ่งเป็น 6 เล่มด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งผลงานเอกของรูมิ 
1273 17 ธันวาคม เสียชีวิตในหมู่บ้านคอนย่า (Konya, Turkey) ร่างของเขาถูกฝังเอาไว้ข้างๆ กับบิดา ที่พิพิธภัณฑ์ Mevlana museum ในตุรกีปัจจุบัน ทุกๆ วันที่  17 ธันวาคม จึงมีการจัดงาน Night of Union (Seb-i Arus)  เพื่อระลึกถึงรูมิ 
มีการก่อตั้งรางวัล Mewlewi Sufi Order ในปี 1273 โดยศิษฐ์ของรูมิ 
ผลงาน
  • Masnavi 
  • Divan-e Shams-e Tabrizi
/*
Mawlana (นายท่าน/ our lord / master)  เทียบเท่า Sir ในภาษาอังกฤษ  , Mowlana ( สะกดแบบเปอร์เซีย) Mevlana (แบบตุรกี)
Don`t copy text!