Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Ignacy Jan Paderewski

wikipedia.ru
อิกนาซี แจน เปเดเรวสกี  (Игнацы Ян Падеревский)
นักเปียโนอัจฉริยะชาวโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 2  ของสาธารณรัฐโปแลนด์
เขาเกิดในจักรวรรดิรัสเซีย ในเมืองโปโดเลีย (Podolia Governorate , Podolia Guberniya (Гуиурния ) กุบเบอร์นิย่า~ เป็นเหมือนเขตการปกครองในจักรวรรดิตรัสเซีย มีผู้ว่าการของตัวเอง) ในหมู่บ้านชื่อคูริลอฟก้า (Kurilovka) ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน
พ่อของเขาชื่อ Jan Paderewski เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก ส่วนแม่ชื่อ Poliksena Nowicka เสียชีวิตไปหลังจากคลอดเปเตเรวสกี ได้เพียง  7 เดือน เปเตเรวสกี เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1860 (วันที่ 18 ตามปฏิทินปัจจุบัน)

เขามีความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่ยังเล็กและเริ่มเรียนดนตรีตอนที่อยู่ในเมือง Zhytomyr ซึ่งพวกเขาย้ายมาอยู่กลับพ่อ แต่ว่าในปี 1863 นั้นพ่อของเขาถูกจับ เนื่องจากพัวพันกลับการประท้วง January Uprising (1863) ซึ่งเป็นการลุกฮือประท้วงของคนเชื้อสายโปแลนด์และลิธัวเนียที่ต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิรัสเซีย หลังจากนั้นเขาจึงถูกส่งตัวไปให้ป้า ซึ่งเป็นญาติห่างๆ กันเลี้ยงดู)

นักเปียโนอัจฉริยะชาวโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 2  ของสาธารณรัฐโปแลนด์
เขาเกิดในจักรวรรดิรัสเซีย ในเมืองโปโดเลีย (Podolia Governorate , Podolia Guberniya (Гуиурния ) กุบเบอร์นิย่า~ เป็นเหมือนเขตการปกครองในจักรวรรดิตรัสเซีย มีผู้ว่าการของตัวเอง) ในหมู่บ้านชื่อคูริลอฟก้า (Kurilovka) ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน
พ่อของเขาชื่อ Jan Paderewski เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก ส่วนแม่ชื่อ Poliksena Nowicka เสียชีวิตไปหลังจากคลอดเปเตเรวสกี ได้เพียง  7 เดือน เปเตเรวสกี เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1860 (วันที่ 18 ตามปฏิทินปัจจุบัน)
เขามีความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่ยังเล็กและเริ่มเรียนดนตรีตอนที่อยู่ในเมือง Zhytomyr ซึ่งพวกเขาย้ายมาอยู่กลับพ่อ แต่ว่าในปี 1863 นั้นพ่อของเขาถูกจับ เนื่องจากพัวพันกลับการประท้วง January Uprising (1863) ซึ่งเป็นการลุกฮือประท้วงของคนเชื้อสายโปแลนด์และลิธัวเนียที่ต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิรัสเซีย หลังจากนั้นเขาจึงถูกส่งตัวไปให้ป้า ซึ่งเป็นญาติห่างๆ กันเลี้ยงดู
เขาสนใจด้านดนตรีมาตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก ตอนที่ยังอาศัยอยู่ในเมือง Zhytomyr ร่วมกับพ่อ แต่ว่าในปี 1863 พ่อของเขาก็ถูกจับเพราะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านจักรวรรดิรัสเซียของชาวโปแลนด์และลิธัวเนีย (January Uprising) ทำให้เขาถูกส่งตัวไปอยู่ในการอุปการะของป้า
จนกระทั้งเมื่อพ่อถูกปล่อยตัวออกมา พ่อของเขาก็แต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง และย้้ายไปอยู่ที่เมือง Sydylkov 
เขาเริ่มเรียนเปียโน โดยการจ้างครูมาสอนให้ที่บ้าน 
1872 เขาเดินทางไปยังวอร์ซอเพื่อเข้าเรียนที่ Warsaw Conservatorium ซึ่งเป็นโรงเรียนทางด้านดนตรี
1878 สำเร็จการศึกษา โดยที่เขาได้รับการทาบทามให้เป็นอาจารย์สอนในวิชาเปียโนคลาสสิคของสถาบัน และเขาเองก็ตอบตกลง
1880 เขาแต่งงานกับ Antonina Korsakowna ซึ่งเธอได้ให้กำเนิดลูกชายของทั้งคู่ในปีถัดมา แต่โชคร้ายที่ลูกชายของเขานั้นพิการมาแต่กำเนิด
1881 เดินทางมายังเบอร์ลิน เพื่อศึกษาเพิ่มเติมด้านดนตรี โดยได้มีโอกาสเรียนกับ Friedrich  Kiel และ Heinrich Urban
1884 ย้ายมายังเวียนนา โดยกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ของ Theodor Leschetizky ,
1887 เขาเริ่มมีชื่อเสียงแล้วระหว่างอยู่ในเวียนนา เขามีโอกาสได้เปิดการแสดงของตนเองบ้างในปารีส ปี 1889 และที่ลอนดอนในปี 1890 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมมาก จนต้องเปิดการแสดงอีกรอบในสหรัฐปี 1891 เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเปียโนระดับแนวหน้าของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ผลงานการบรรเลงเพลง Minuet In G (แต่งโดย Johann Bach) ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วโลก
1889 แต่งงานกับ Baroness de Rosen
1902 เขาจัดการแสดงโอเปล่าเรื่อง Manru ในเดรสเดน และในสหรัฐ ซึ่งการเปิดที่ Metropolitan Opera ยังคงเป็นสถิติว่าเป็นขณะเดียวที่มาจากโปแลนด์และประพันธ์โดยนักดนตรีโปแลนด์ตราบปัจจุบัน
หลังจากนั้นเขาและภรรยาคนที่สอง นกแก้ว และเปียโน ยี่ห้อ Erard ก็เดินทางไปในหลายประเทศ ทั้งนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย เพื่อเปิดการแสดง
1910 เขาให้เงินทุนสนับสนุนการทำอนุสาวรีย์ระลึกสงคราม Battle of Grunwald Monument ในกราโกว ในโอกาสครบรอบ 500 ปีของเหตุการณ์ดังกล่าว
1913 มาปักหลักอยู่ในอเมริกา เขาได้ซื้อที่ดินขนาดใหญ่กว่า 2,000 เอเคอร์ ในตอนกลางของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อมาเขาใช้ที่ดินแปลงนี้ทำไร่องุ่น พันธ์ Zinfandel ซึ่งกลายมาเป็นโรงงานผลิตไวน์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย
และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น เขาให้การสนับสนุนกลุ่มชาตินิยมโปแลนด์ (Polish National Committee) ซึ่งมีที่มั่นอยู่ในปารีส ซึ่งต่อมาไม่นานเขาได้รับการยอมรับจากเอ็นเต็นเต (Ententa, อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย) ว่าเป็นตัวแทนของชาวโปแลนด์ เขากลายมาเป็นโฆษกของกลุ่ม และยังได้ร่วมก่อตั้งกลุ่มการเมืองขึ้นอีกหลายกลุ่ม และกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือด้านสังคม ตัวอย่างเช่น Polish Relief Fund
ปี 1916 มีผลงานที่ได้รับความนิยมมากอย่าง The Two Bobs, When Paderewski plays
1918 ได้มีโอกาสพบกับ หลุยส์ มาร์แชลล์  (Louis Marshall) ซึ่งเป็นผู้นำคนเชื้อสายยิวในสหรัฐ แต่ว่าเขาไม่สามารถทำข้อตกลงระหว่างกันได้สำเร็จ เขาต้องการได้รับการสนับสนุนในการตั้งประเทศโปแลนด์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนเรียกร้องความเสมอภาค สิทธิให้กับชาวยิวในสหรัฐอเมริกา
หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง สถานะของโปแลนด์ยังไม่ได้รับเอกราช เปเดเรวสกี ได้กล่าวต่อหน้าฝูงชน ที่สวนสาธารณะ Ujazdow ในวอร์ซอ ในวันที่ 27 ธันวาคม เรียกร้องให้มีการจับอาวุธขึ้นเพื่อปลดแอกจากเยอรมัน  นำไปสู่การลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวโปแลนด์
1919 โปแลนด์กลายเป็นประเทศเอกราช เปเดเรวสกี ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศของโปแลนด์ ซึ่งในฤดูร้อนได้มีการลงนามในสนธิสัญญาเวอร์เซลเลส (Versailles Treaty) เพื่อกำหนดพรหมแดนที่ชัดเจนของโปแลนด์
แต่ว่าช่วงปลายปี เขาก็สูญเสียเสียงสนับสนุนทางการเมืองไปมาก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะดินแดนที่ได้คืนมาตามสนธิสัญญาเวอร์เซลเลสนั้นไม่เป็นที่พอใจของประชาชน จนเขายืนใบลาออกในวันที่ 4 ธันวาคม 1919 และไปทำงานเป็นผู้แทนของโปแลนด์ประจำองค์การสันนิบาตชาติแทน (League of Nations)
1922 เขาวางมือที่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองทิ้งไป แล้วกลับมาใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรี การแสดงครั้งแรกของเขาจัดขึ้นใหม่ครั้งแรกที่คาร์เนกี ฮอล์ล และยังเปิดแสดงในอีกหลายที่ โดยการเดินทางโดยขบวนรถไฟ 
และไม่นานจากนี้เขาก็ย้ายไปอยู่ทีสวิสเซอร์แลนด์
1926 เกิดการปฏิวัติในโปแลนด์ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านรัฐบาลของโจเซฟ ปิลซุดสกี (Jozef Pilsudski) และกลุ่ม Sanation ที่สนับสนุนปิลซุดสกี
1934 ภรรยาของเขาเสียชีวิต
1936 ได้มีการพยายามถ่ายทำภาพยนต์ Moonlight Sonata ซึ่งตอนแรกเปเดเรวสกี ปฏิเสธที่จะปรากฏตัวบนแผ่นฟิล์ม แต่โครงการนี้ไม่ได้หยุดลง
1937 เขารับลูกศิษย์คนหนึ่ง ชื่อว่า Witold Malcuzynski ซึ่งศิษย์คนนี้สามารถคว้าอันดับสองในการแข่งขันเปียโน ในงาน Frederic Copin Piano Competition
1939 กลุ่มผู้ต่อต้านได้ร่วมทำข้อตกลงร่วมกัน โดยลงนามในแมนชั่นของเขา และเรียกกลุ่มผู้ต่อต้านว่า Front Morges
1940 ได้กลายมาเป็นประธานของ Polish National Council ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถี่นของชาวโปแลนด์ ซึ่งมีฐานอยู่ในลอนดอน , ปีนี้เขายังได้ตั้ง Polish Relief Fund ขึ้นมาใหม่ โดยระดมเงินสนับสนุนโดยการเล่นเปียโน ซึ่งส่วนใหญ่แสดงในสหรัฐ ซึ่งระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อหาเงินทุน เขาก็ล้มป่วยลงในวันที่ 27 มิถุนายน 1941 ด้วยโรคปอดปวม
จนเขาเสียชีวิตในวันที่  29 มิถุนายน 1941
ร่างของเขาถูกประกอบพิธีที่สุสานอาร์ลิงตัน (Arlington Cemetery) ในเวอร์จิเนีย หลังเสียชีวิตไปแล้วยังมีองค์กรหลายแห่งทำงานโดยใช้ชื่อของเขาในแคลิฟอร์เนีย และในโปแลนด์ ในปี 1960 ชื่อของเขาถูกจารึกลงบน Walk of Frame ในฮอลีวู๊ด ต่อมาในปี 1992 ได้มีการนำเอาอัษฐิของเขาเดินทางกลับโปแลนด์ และเก็บไว้ที่วิหาร St. John’s Cathedral ในวอร์ซอ
Don`t copy text!