Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Giuseppe Garibaldi

photo :wikipedia 

กุสซิปปี การิบัลดิ (Giuseppe Garibaldi) ฮีโร่แห่งอิตาลี บ้างก็ว่าเป็นบิดาแห่งอิตาลียุคใหม่ การิบัลดิ เกิดในเมืองไนส์ (Nice) หรือนิซซา( Nizza) ซึ่งในสมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 1807 ครอบครัวของเขาเป็นพ่อค้า ทำให้การิบัลดิมีชีวิตเติบโตมาในเรือเดินทะเล เพื่อค้าขาย

1814 ฝรั่งเศสยกเมือง Nice กลับคืนให้แก่ ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย (Kingdom of Sardinia) เป็นผลสืบเนื่องจากการแพ้สงครามของนโปเลีียน

1824-33 การิบัลดิ ทำงานในเรือขนส่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลดำ การิบัลดิ ได้ใบรับรองการเป็นกับตันเรือสินค้าในปี 1832 แต่ในปีต่อมา ระหว่างที่อยู่ในตากานร๊อก (Taganrog, รัสเซีย) เขาได้พบกับจิโอวานี บาตติสตา คุเนโอ (Giovanni Battista Cuneo) ซึ่งเป็นชาวอิตาลีอพยพ และเป็นสมาชิกของกลุ่มยุวชนอิตาลี ( Young Italy ,La Giovine Italia) ที่ก่อตั้งโดย กุชเซปเป มาซซินี (Giuseppe Mazzini) ซึ่งเป้าหมายของกลุ่มยุวชนอิตาลี คือการปลดปล่อยอิตาลีจากการเป็นเมืองในอาณัติของอาณาจักรออสเตรีย และก่อตั้งสาธารณรัฐพฤศจิกายน

1833 การิบัลดิ ได้พบกับ มาซซินี เป็นครั้งแรกที่สำนักงานใหญ่ในเมืองมาร์ซิลเลส(Marseilles) ฝรั่งเศส นอกจากนั้น การิบัลดิ ยังได้เข้าร่วมกับสมาคม คาร์โบนาริ (Carbonari) ที่ต้องการปฏิวัติเช่นกัน 

1834 ปฏิบัติการของกลุ่มของ มาซซินี ล้มเหลว , การิบัลดิ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยเช่นกัน แต่ว่าตัวเขาเองหลยหนีไปยังมาร์ซิลเลส ฝรั่งเศส

1836 เขาออกเดินทางไปกับเรือมุ่งไปยังประเทศ ตูนิเซีย (Tunisia)  และนั้นทำให้เขาได้พบเส้นทางไปยังประเทศบราซิล เขาได้ร่วมกับกลุ่มกบฏ กัวโช่ (Gaucho หรือ farrapos (tatters) ) ที่ต้องการปลดปล่อยจังหวัด ริโอ แกรนด์ โด โซล (Rio Grande do Sul) ให้เป็นอิสระ จากประเทศบราซิล ซึ่งตอนนั้นเพิ่งจะเป็นประเทศเอกราชเกิดใหม่ โดยการรบกันครั้งนั้นเรียกว่าเป็นสงครามแตตเตอร์ (War of Tatters) ระหว่างอยู่ในเหตุการณ์สงครามนั้นเอง กาลิบัลดิ ได้พบกับภรรยาของเขา เอน่า ริเบโร ดา ซิลว่า (Ana Ribeiro da Silva) หรือ อลิต้า อลิต้า ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกาลิบัลติ ในตอนที่กลุ่มกบฏกัวโช่ พยายามที่จะยึดจังหวัดซานต้า คาตาริน่า (Santa Catarina) ทั้งคู่อยู่บนเรือที่ชื่อว่า ริโอ พาร์โด (Rio Pardo) ระหว่างช่วงสงครามที่กินเวลายาวนานนี้ กาลิบัลติ นอกจากจะทำหน้าที่กัปตันบัญชาการเรือรบแล้ว เขายังต้องทำงานอีกหลายอย่างทัั้งเป็นคนเลี้ยงปศุสัตว์ พ่อค้า แต่ความพยายามในการตั้งรัฐใหม่ขึ้นมาของเขาที่กินเวลานาน ทำให้ในที่สุดเขาตัดใจจากบราซิล และเดินทางไปยังดินแดนใหม่ โดยได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือ  ในเมือง มอนเตวิเดโอ (Montevideo) ประเทศอุรุกวัย เมื่อปี 1841 ซึ่งเขาและอลิต้า ได้จัดพิธีแต่งงานกันในเมืองนี้  ที่ประเทศอุรุกวัย การิบัลดิ เข้าไปเคลื่อนไหวต่อต้าน ปธน.(อุรุกวัย) มานุเอล โอริเบ บรานคอส (Manuel Oribe’s Blancos) กับ เผด็จการแห่งอาร์เจนติน่า มานูเอล เดอ โรสาส (Manuel de Rosas)   การิบัลดิ ตั้งกองทัพอิตาลี(Italy Legion) ขึ้นมาโดยร่วมมือกับกลุ่ม โคโลราโ่ด่ (Colorados,อุรุกวัย) และ ยูนิทาเรียส (Unitarios, อาเจนติ่น่า) 

กองทหารของอิตาลี เป็น กลุ่มเสื้อแดง (RedShirt) กลุ่มแรกที่เกิดขึ้นในโลก

การิบัลติ ใช้ธงพื้นสีดำและมีภูเขาไฟตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอิตาลี กลุ่มผู้สนับสนุนเขา จะสวมเสื้อสีแดง ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ เมื่อพูดถึงการิบัลติ จะต้องมี เสื้อแดง(Red Shirt) , ปอนโช่ (poncho เสื้อคลุม ทำจากใยพืชที่กันน้ำ เจาะรูเฉพาะส่วนหัว คล้ายจะไว้กันฝนและกันหนาว) และหมวดซอมเบอร์โร (Somberro หมวกกลมมีปีก)

ระหว่างอยู่ในอุรุกวัยตั้งแต่ 1841-1848 นี้ เขาและภรรยามีลูกด้วยกันสี่คน คือ เมนอตติ (Menotti,เกิด 1840) โรซิต้า (Rosita,1843) เตเรสซิต้า (Teresita,1845) และ ริคคิออตติ (Ricciotti,1847) 
กองกำลังของการิบัลดิ ใช้กลยุทธ์แบบกองโจรในการต่อต้านทหารของรัฐบาลอุรุกวัย เขาพยายามจะเข้ายึดเมืองหลายเมืองในประเทศ  การรบในอุรุกวัยของเข้าประสบความสำเร็จมากในช่วงปี 1846 สามารถมีชัยชนะในการรบที่สมรภูมิเมือง เคอร์โร (Cerro) และ ซาน แอนโตนิโอ (San Antonio) ข่าวนี้ดังไปไกลถึงฝั่งยุโรป และเขาได้รับมอบกระบี่เกียรติยศจากอิตาลี

1846 ในอิตาลี ได้มีการแต่งตั้งสันตะปาปาองค์ใหม่ เป็น โป๊ป ปิอุส ที่ 4 (Pope Pius IX)  ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อคนอิตาลีในและนอกประเทศ สันตะปาปาทรงเริ่มโครงการปฏิรูปหลายอย่าง และการิบัลนิ ก้เขียนจดหมายเสนอตัวที่จะช่วยเหลือ

1848 เดือนเมษายน การิบัลดิ และนายทหาร 80 คนเดินทางกลับไปยังอิตาลี เขาถูกสันตะปาปา ปฏิเสธความช่วยเหลือที่เขาจะมอบให้  ตอนนั้นในอิตาลีคลุกรุ่นไปด้วยกระแสปฏิวัติ การิบัลดิจึงเปลี่ยนไปเสนอตัวที่จะช่วยกษัตริย์แห่ง ซาร์ดิเนีย ชาร์ล อัลเบิร์ต (Charles Albert of Sardinia) ทว่า อัลเบิร์ต ปฏิบัติต่อเขาและพรรคพวกอย่างเย็นชาและไม่ไว้วางใจ เพราะยังจำได้ว่าเขาเคยก่อกบฏในป 1834 มาก่อน ทำให้เขาหันไปอยู่ข้าง Peidmontese โดยได้เข้าไปยังเมืองลอมบาร์ดิ (Lombardy) เข้าร่วมกับรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งมิลาน ซึ่งกำลังต่อสู้การยึดครองของออสเตรีย ทั้งสองฝ่ายมีการรบกันอย่างหนักในลัวโน่ (Luino) และ โมราซโซเน (Morazzone) แต่ทว่าฝ่ายของกาาลิบัลดิ ฝ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้กับฝรั่งเศสและออสเตรีย สูญเสียทหารไปจำนวนมากและตั้งล่าถอยไปยังพรหมแดนติดกับสวิสเซอร์แลนด์ ภรรยาของเขา อนิสต้า เสียชีวิตในเดือนกันยายนระหว่างที่กำลังหลบหนี ภรรยาของเขามีอาการป่วยและตั้งครรภ์ด้วย แต่ว่าต้องการที่จะเดินทางข้างกายไปกับสามีตลอดสงคราม เธอเสียชีวิตบริเวณชายหาด เขาเดินทางกลับไปยังเปียดมอนตีส และก็ถูกจับกุมตัวได้

1849 เขาถูกกษัตริย์แห่งเปียดมอนตีส เนรเทศ เป็นการถูกเนรเทศครั้งที่สองในชีวิตเขา เขาถูกส่งตัวไปอยู่ที่ แทนเกียร์ (Tangier) ที่นี่เขาเริ่มเขียนบันทึกความทรงจำของเขา จากนั้นเขาถูกส่งตัวต่อไปที่เกาะ สตาเตน (Staten island, นิวยอร์ค สหรัญอเมริกา) 

1840-1853 เขาเดินทางไปเปรู ที่เปรูนี้ เขากลับมาเป็นพ่อค้าและกัปตันเรืออีกครั้งหนึ่ีง เขาเป็นกัปตันเดินทางไประหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

1854 เขาบรรทุกถ่านหิวไปขายที่อังกฤษ และได้แต่งงานกับ เอ็มม่า โรเบิร์ต (Emma Roberts) ในปี 1855 เขาซื้อที่ดินบนเกาะแคเปรร่า (Caprera) ทางตอนเหนือของซาร์ดิเนีย (Sardinia)

1856 มาอยู่ที่อังกฤษ เพื่อเจรจาซื้อเรือ และหาทางให้มีการปล่อยนักโทษการเมือง ที่ถูกจับโดยกษัตริย์บัวบอง (Bourbon King) แห่งเนเปิ้ล แต่ว่าไม่สำเร็จ 

photo :wikipedia.org

1858 เดินทางไปเมืองตูริน (Turin) ตามคำเชิญของ เคาต์ คอเวอร์ (Count Covour) นายกรัฐมนตรีของเปียดมอนตีส  ซึ่งเคาต์ คอเวอร์ เตรียมตัวที่จะทำสงครามครั้งใหม่กับออสเตรียอีกครั้ง เขาอยากให้การิบัลตินำกำลังทหารอาสาเข้ามาช่วย โดยการิมอนติ ได้รับยศเป็นนายผลแห่งกองทัพ เปียดมอนติส

1859 สงครามเริ่มขึ้น ในเดินเมษายน การิบัลดิ ตั้งหน่วยทหารของเขาชื่อว่า the Cacciatory delle Alpi  ทหารของเปียดมอนติสรบกับฝรั่งเศสอย่างหนักทีเมืองลอมบาร์ดิ ส่วนกำลังทหารของการิบัลดิ ก็เข้าโจมตีและมีชัยชนะที่เมือง วาเรส (Varese) โคโม (Como) และอิตาลีก็มีีชัยชนะ 

1860 แต่ว่าการิบัลดิ ไม่พอใจนโยบายของนายกรัฐมนตี เคาต์ คอเวอร์ และกษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล ที่สอง (Victor Emanuel II) ซึ่งสองคนนี้ต้องการที่จะส่งมอบเมืองไนส์ (Nice) บ้านเกิดของเขาให้กับจักรพรรดิหลุยส์ นโปเลียน (Louis Napoleon) แห่งฝรั่งเศส การิบัลดิจึงได้ตั้งกำลังอาสาสมัครขึ้นมา ทำการประท้วง มีจำนวนประมาณหนึ่งพันคน ทำการต่อต้านทหารฝรั่งเศส และสามารถยึดเมืองหลวง ปาเลอร์โม่ (Palermo) ของซิสิลี (Sicily) ไว้ได้ และยังมีชัยชนะในการรบที่มิแลซโซ่ (Milazzo) และสามารถยึดเมืองเนเปิ้ล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดในอิตาลีเวลานั้นเอาไว้ได้ในเดือนกันยายน  ประกาศตัวเป็นเผด็จการแห่งสองซิสิลีสองแห่ง (the Dictator of the two Sicilies) เขามอบเมืองสองแห่งนี้ให้กับ นายกรัฐมนตรี คอเวอร์ และประกาศให้เอ็มมานูเอล เป็นกษัตริย์เพื่อการรวมอิตาลี ส่วนตัวเขาเองหลบไปพักที่เมืองคาเปร่า (caprera) เขาได้จัดการแต่งงานใหม่กับ กุซเซปปีน่า (Giuseppina) ลูกสาวของ มาร์เชสเส ไรมอนดิ (Marchese Raimondi) แต่ว่าก็ทิ้งเธอทันที่ในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อรู้ว่ากุซเซปปิน่า ได้ตั้งท้องก่อนแล้ว

1861 ประธานาธิบดี ลินคอร์น แห่งสหรัฐได้ขอความช่วยเหลือ ให้การิบัลติ ไปช่วยรบในสงครามกลางเมืองในสหรัฐ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการิบัลดิ ตั้งใจจะช่วยลินคอร์น เพราะเขาต้องการให้ลินคอร์นปลดปล่อยทาส แต่ทว่าเมื่อได้รับเสียงประท้วงจากวาติกัน ลินคอร์นก็ยกเลิกข้อเสนอนี้ และเมื่อลินคอร์นประกาศเลิกทาสในปี 1863 การิบัลดิได้เขียนจดหมายไปแสดงความยินดี ความว่า [Posterity will call you the great emancipator, a more enviable title than any crown could be, and greater than any merely mundane treasure.] คนรุ่นหนังจะต้องชื่อชมท่านว่าผู้ปลดปล่อยที่ยิ่งใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งกว่ามงกุฏใดๆ และล้ำค่ากว่าสมบัติ

1862 กาลิบัลดิ เปิดแคมเปญใหม่ โดยคราวนี้เขาต้องการได้วาติกันมาเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี ตอนนั้นฝรั่งเศสโดยนโปเลียน ที่ 3 ให้การสนับสนุนนครวาติกัน เป็นอิสระจากอิตาลี โดยส่งทหารฝรั่งเศสมาประจำการ , กาลิบัลติ ร่องเรือจากกินัว (Genoa) ไปยังปาเลอร์โม่ (Palermo) เพื่อพยายามรวบกำลังผล ภายใต้สโลแกน Rome or Death เขาเชื่อว่าตัวเขาเองได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์เอ็มมานูเอล อย่างลับๆ เขาสามารถรวมกำลังได้สองพันนาย และตั้งใจจะเดินจากเมซซิน่า เพื่อเข้าแผ่นดินใหญ่จากจุดนั้น แต่ว่าทหารของกษัตริย์กลับพยายามมาหยุดเขา กาลิบัลดิจึงได้เปลี่ยนแผนโดยล่องเรือจากคาตาเนีย (Catania) มายังเมลิโต้ (Melito) ในวันที่ 14 สิงหาคม และเข้าไปตั้งกำลังในหุบเขาคาลิเบรียน แต่ว่ารัฐบาลของอิตาลีขณะนั้นไม่เห็นด้วย และได้ส่งทหารนำโดยนายพลเอ็นริโค เคียนดินี (Enrico Cialdini) มาหยุดเขาเอาไว้ กองทัพทั้งสองปะทะกันในวันที่ 28 สิงหาคม ที่แอสโปรมอนเต (Aspromonte) การิบัลติได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกครั้งนี้ และถูกนำตัวไปขังคุก แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดีสมเกียรติ จนบาดแผลเขาหาย เขาก็ได้รับการอภัยโทษจากกษัตริย์

1864 การิบัลติ เดินทางไปลอนดอน มีฝูงคนจำนวนมากมาคอยให้การตอนรับเขา เขาได้เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีวิสเคาต์ ปาลเมอร์สตัน (Viscount Palmerston) แห่งอังกฤษ แต่พระราชินีวิคตอเรียและราชวงศ์ปฏิเสธที่จะเจอเขา

1866 เข้าร่วมรบในสงคราม ตอนนั้นอิตาลีของเขาเป็นพันธมิตรกับปรัสเซีย (Prussia) ได้พยายามต่อต้านจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี อิตาลีต้องการได้เมือง วิเนเธีย (Venetia) คืน สงครามจบในปีนั้นโดยอิตาลีได้เมืองวิเนเธียไป แต่ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับฝ่ายปรัสเซียมากกว่า 

1867 หลังสงครามยุติ เขาต้องการที่จะบุกโรมอีก แต่ทหารของวาติกันและฝรั่งเศส ยิงการิบัลติเข้าที่่ขา ระหว่าต่อสู้กันในเมนตาน่่า (Mentana) ทำให้ต้องถอนตัวออกจากสงคราม รัฐบาลอิตาลีก็จับตัวเขาไปขังไว้ก่อนที่จะปล่อยตัวออกมาอีก เขาเดินทางกลับไปที่คาเปรร่า (Caprera)

1870 เกิดสงคราม ฝรังเศส กับ ปรัสเซีย (Franco-Prussian war)  ประชาชนอิตาลีส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนปรัสเซีย ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากโรม และรัฐปาปาล (Papal State)  10 กันยายน อิตาลีประกาศสงครามกับรัฐปาปาล แม้ว่าจะเหลือทหารเพียงไม่กี่นาย แต่โป๊ป ปิอุส ที่ 6 ก็สั่งให้ทหารลุกขึ้นสู้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าถูกอิตาลีรุกราน ไม่ใช่การยอมรับอิตาลี วันที่ 20 กันยายน ทำให้อิตาลีสามารถยึดเอาโรมมาไว้ได้ โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากการิบัลติ โรมกลายเป็นเมืองหลวงของอิตาลีใหม่   ผลของสงคราม ฝรั่งเศส-ปรัสเซีย อีกอย่างหนึ่งก็คือ จักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ 2 ของ นโปเลียน ที่ 3 ล่มสลายลง นโปเลียนที่ 3 ถูกปรัสเซียจับตัวไว้ได้ ระหว่างการต่อสู้ในสมรภูมิเซดาน (Sedan)  ฝรั่งเศสได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐ ลำดับสาม (Third France Republice ) และเปลี่ยนมาเป็นระบบประธานาธิบดีแทน ในการก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสนี้ การิบัลดิ หันมาให้การสนับสนุน โดยเขาบัญชาการหน่วยทหารวอสเกส (Vosges) ในการต่อสู้กับปรัสเซีย

1879 การิบัลดิ แต่งงานอีกครั้งกับ ฟรานเชสก้า อโมซิโน่ (Francesca Armosino) ศาลตัดสินให้การแต่งงานกับไรมอนดิ ครั้งก่อนเป็นโมฆะ

1882 กุซเซปเป้ การิบัลดิ เสียชีวิต

Don`t copy text!