Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Chachapoyas

ผู้พิทักษ์แห่งก้อนเมฆ , ชาชาโปย่าส์ (Chachapoyas) พวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดิส ซึ่งสูงชันและเป็นป่าฝนเขตร้อน เมืองของพวกเขาอยู่ในจุดที่เรียกว่าเป็นป่าเมฆ ส่วนหนึ่งของเขตอเมซอน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเปรู ทฤษฏีหนึ่งเชื่อกันว่าชาชาโปย่าส์ถูกรุกรานโดยชนเผ่าอินคา จนทำให้วัฒนธรรมสูญหายไป ไม่นานก่อนที่ชาวอินคาเองจะถูกสเปนรุกรานในศตวรรษ ที่ 16 ชื่อชาชาโปย่าส์ เป็นคำดังเดิมที่ชาวอินคาใช้เรียกชนเผ่านี้ แต่ว่าไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว ตัวพวกเขาเองเรียกตนเองว่าชาชาโปย่าส์หรือไม่ คำว่า chachapoyas มาจากคำว่า sacha-p-collars (sacha-ป่า, p-แห่ง, collars-ประเทศ) หมายถึง ประเทศของคนซึ่งอยู่ในป่า บางทีพวกเขาถูกเรียกว่าเป็นชาวอเมซอน แอนดิส (Amazonian Andes) เพราะอาณาจักรของพวกเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ในหุบเหาริมแม่น้ำ Maranon และแม่น้ำอุทคุบามบา (Utcubamba) , เอบิเซีย ( Abiseo) และยังเลยออกนอกพื้นที่ป่าอเมซอนปัจจุบันออกไปจนถึงตอนใต้ของแม่น้ำ ชอนทายาคุ( Chontayacu ) Garcilaso de la Vega อธิบายอาณาเขตของชาชาโปย่าส์ ว่ามันควรจะถูกเรียกว่าอาณาจักรได้ เพราะมีความยาวถึง 250 กิโลเมตรและกว้างถึง 100 กิโลเมตร จากบันทึกของไคซ่า ลีออน (Cieza de Leon) บอกว่าประชาชนของชาชาโปย่าส์ มีสีผิวที่ขาวกว่าคนอเมริกาใต้โดยทั่วไปและมีผมสีน้ำตาล เรื่องเขียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับชาชาโปย่าส์จึงมักอ้างว่า่ชาชาโปย่าส์เป็นคนที่มีผิวสีขาว โดยเฉพาะหนังสือจากสเปน ที่สร้้างภาพให้เหมือนราวกับว่าชาชาโปย่าส์เป็นคนขาว ที่ถูกคนพื้นเมืองผิวสีอยางอินคาทารุณ ชาชาโปย่าส์ ตกเป็นเมืองขึ้นของอินคา ประมาณปี 1475 ไม่นานก่อนที่ชาวอินคาเองจะแพ้ให้กับสเปน คาดกันว่าชาชาโปย่าส์มีประชากรประมาณ 500,000 คน ตอนเริ่มต้น

ปี 1834 กัวแลพ ( Kuelap) กำแพงหินที่สูงกว่า 30 เมตร และมีความยาว 600 เมตร ถูกค้นพบในปี 1834 โดย Judge Juan Chisostomo Nieto กัวเแลฟตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,100 เมตร ถ้านับกันที่จำนวนก้อนหินแล้ว กัวแลพให้หินมากมายกว่าที่ใช้ในการสร้างปิรามิดกีซ่าเสียอีก มีการอธิบายว่ากำแพงหินเหล่านี้ถูกสร้างเพื่อใช้รบกับศัตรู ต่างเผ่า อย่าง วาริ (Wari หรือ Huari) ซึ่งพวกวาริเป็นฝ่ายที่จะแพ้ทุกครั้งไป

ปี 1964 ค้นพบ Vilcabamba อินคา

ปี 1965 มีการค้นพบ Gran Pajaten ซึ่งเป็นซากโบราณสถานของบ้านเรือน ที่สร้างด้วยหินมีโดยลักษณะโค้่ง มีระเบียงบ้านและบันได อยู่กันหลายหลัง มีการตกแด่งผนังบ้านด้วยโมเสค เป็นรู้นกและคน นักสำรวจที่ค้นพบคือ จีน ซาวอย (Gene Savoy) ซึ่งเขาถูกชาวหมู่บ้านปาตาส ( Pataz) นำทางไปยังซากโบรารแห่งนี้ แต่ก็ว่ากันว่าที่แห่งนี้เคยถูกพบมาก่อนแล้วในปี 1940 โดย Eduardo Pena Meza ระหว่างที่เขาทำการสำรวจเส้นทางเพื่อสร้างถนน ปัจจุบัน Gran Pajaten อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ริโอ อบิซิโอ (Rio Abiseo Park) ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ในปี 1964 จีน ซาวอย เป็นผู้ค้นพบวิคาบามบา (Vicabamba) ซี่งเป็นเหมือนเมืองหลวงของชนเผ่าอินคาแห่งสุดท้ายก่อนที่สเปนจะเข้ามา นักโบราณคดี Hiram Bigham เชื่อว่า วิคาบามบา และ มาชู พิคชู (Machu Picchu)เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หนังสือเล่มแรกๆ เกี่ยวกับชาชาโปย่าส์ตีพิพม์ยุโรปราาวปี 1843 หลังจากมีการค้นพบหลักฐานว่าอารยธรรมโบราณแห่งอเมซอนแอนดิสนี้มีอยู่จริง โดยมีการค้นพบหินสลัก ไม้แกะสลัก ผ้า และหลุมฝังศพหกหลุม เช่น ชื่อ Laguna de Los Cóndores (Lake of the Condors) โดย เฟดิริก ฮอด์จ (Frederick Hodge) , Grand Pajaten ซึ่งช่วยเรียกความสนใจจากคนทั่วโลกให้หันไปมองชาชาโปย่าส์ได้อย่างมากมาย

1985 จีน ซาวอย เริ่มงานสำรวจอีกครั้งหนึ่งในปี 1984 และใน 1985 นี้ เขาค้นพบ Gran Vilaya ทฤษฏีหนึ่งของ จีน ซาวอย เขาเชื่อว่าชาชาโปย่าส์ สืบเชิ้อสายมาจาก โฟนิเชียน (Phoenicians) โดยอ้างถึงหลุมศพที่คล้ายคลึกัน และสถาปัตยกรรมในการสร้างบ้านเรือน และศิลปวัตถุที่มักจะอยู่ในรูปทรงโค้ง กลม และรูปปั้นหินแกะสลักที่ดูคล้ายกับโมอาย

ปี 1996 มีการค้นพบ Lake of the condors ตามที่นักสำรวจนำโดย ดร.โซเนีย กิลเลน (Dr.Sonia Guillen) และ แอนเดรียน่า วอน ฮาเกน (Adriana Von Hagen) ตั้งชื่อให้ เพราะเป็นทะเลสาบกลางหุบเขา ที่แห่งนี้มีการพบศพมัมมีชาวชาชาโปย่าส์ กว่า 200 ร่าง นอกจากนั้นยังคนพบเชือกคิปุส(Quipus) 32 ชุด ซึ่ง คิปุส ถูกใช้โดยเผ่าอินดาโดยการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ด้วยการสร้างปมบนเส้นเชื่อก เชื่อกันว่า ทะเลสาบแห่งมัมมีนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ฝั่งศพของชาวชาชาโปย่าส์ มัมมี่ที่พบจะอยู่ในโลงไม้ มีตุ๊กตาสลักและเครื่องใช้ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้อาจจะถูกใช้ร่วมกันโดยทั้งอินคาและชาชาโปย่าส์ ปี 1999 มีการค้นพบสถานที่ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า Llagtacocha (people of the lagoon) ซึ่งมีสภาพเหมือนบ้านเรือน ทางตอนเหนือของทะเลสาบ

กันยายน , 1999 คณะสำรวจโดย ซีน ซาวอย (Sene Savoy, ลูกชายของ จีน ซาวอย) ได้ค้นพบ Gran Saposoa ซึ่งเป็นสถานที่พบบ้านเรือนและกำแพงที่ทำด้วยหินสูงหลายสิบฟุต อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งว่า อินคา และ ชาชาโปย่าส์ มีการรวมตัวกันในชุมชนเดียวกัน และซีน ซาวอย ก็คิดว่าจริงๆ แล้ว สองเผ่านี้อาจจะไม่ได้รบกัน แต่อาศัยเหมือนกับเป็นจักรวรรดิ บริหารตัวเอง เหมือนกับในอาณาจักรโรมัน และนักรบจะเป็นอาสาสมัครมากกว่า และต่างก็คงจะสิ้นแผ่นดินไปพร้อม ๆ กันหลังการมาของสเปนในปี 1475

2011 หนังสือพิมพ์ เปรู El Comercio รายงานการค้นพบโบราณสถานเล็กๆ เพิ่มเติม ซึ่งสร้างในยุคของชาชาโปย่าส์ (ช่วง ค.ศ. 800-1470) การค้นพบครั้งนี้นอกจากจะเจอปราการขนาดเล็กแล้ว ยังมีการขุดเจอโล่ห์ที่ทำจากเงิน หอก และอาวุธที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ซึ่งถือว่ามีคุณภาพที่สูงมาก และเชื่อว่าชาวแอนดิสโบราณเหล่านี้น่าจะมีความรู้ในการผลิตเครื่องใช้จากโลหะที่ดีมากดีเดียว

Frederick Webb Hodge (28 ตุลาคม 1864- 28 กันยายน 1956) เป็นนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี เกิดในประเทศอังกฤษแต่ว่าครอบครัวย้ายไปยังสหรัฐอเมริการขณะเขาอายุได้เพียง 7 ขวบ จบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน(1933) และยังจบด้านกฏหมายจากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก(1934)และจากมหาวิทยาลัยเซาเทริ์นแคลิฟอเนีย (1943) เขาเรียนด้านการเขียน ทำงานเป็นผู้อำนวยการในพิพิธภัณฑ์เซาท์เวสท์ (Southwest Museum of the American Indian) ในลอสแองเจิลลิส และทำงานให้กับสถาบันสมิทโซเนียน (Smithsonian Institution) ด้วยตั้งแต่ปี 1901

Douglas Eugene “Gene” Savoy (11 พฤษภาคม 1927 – 11 กันยายน 2007) เกิดในรัฐวอชิงตัน เขาเป็นนักสำรวจและนักบวชชาวคริสต์ เขาเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือตั้งแต่อายุ 17 ปีและร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเวลาสองปี จากนั้นได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลับพอร์ทแลนด์ (Portland University) ทางด้านศาสนา ตอนที่ศึกษาอยู่นี้เองเขาได้รับคำแนะนำให้ไปทำงานเป็นนักข่าว แต่เขาก็ยังคงการศึกษาด้านศาสนาต่อไปด้วย เขามีความสนใจศาสนาโบราณ ศึกษาภาพวาดและเรื่องราวลึกลับของชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือ และความลับที่แฝงอยู่ในศาสนาอื่นๆ ด้วย ปี 1956 ธูรกิจของเขามีปัญหา ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป แต่ว่ามีโชคเข้าข้างอย่างหนึ่งครงที่เขาทำภาพยนต์สารดีเกียวกับภาพเขียนโบราณ ซึ่งเขาได้สร้างสมมุติฐานว่าวัฒนธรรมในอเมริกาเหนือและใต้คล้ายๆกัน นั้นทำให้เขาได้รับทุกในการเดินทางไปยังประเทศเปรูในฐานะช่างภาพ ในปี 1957 และเขาได้เติมความฝันให้เป็นจริงด้วยการเป็นนักสำรวจ

Don`t copy text!