Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

John Reed

จอห์น รี๊ด (John Reed) 
ผู้เขียน Ten Days That Shook The World 
รี๊ด เกิดวันที่ 22 ตุลาคม 1887 ในพอร์ตแลนด์, โอรีกอน, สหรัฐฯ​ (Portland, Oregon, USA) พ่อชื่อว่าชาร์ล (Charles Jerome Reed) เป็นพนักงานขายเครื่องจักรทางการเกษตร ส่วนแม่ของเขาชื่อมาร์กาเร็ต (Margaret Green Reed)  เธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในพอร์ตแลนด์ ครอบครัวของเธอทำธุรกิจผลิตก๊าซ, เหล็ก, และน้ำ
รี๊ดมีสุขภาพที่ไม่ดีมาตั้งแต่เล็ก เขาเติบโตมาโดยต้องมีพยาบาลและคนรับใช้คอยดูแลเสมอ
รี๊ดเริ่มเข้าเรียนที่สถาบันพอร์ตแลนด์ (Portland Academy) โรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ พร้อมกับน้องชายชื่อแฮร์รี่ (Harry) ที่อ่อนกว่าเขาสองปี 
1904 ย้ายโรงเรียนมอร์ริสทาว์น (Morristown School) ในนิว เจอร์ซีย์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาาลัย 
1906 เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด (Harvard University) โดยระหว่างที่เรียนเขาทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งเป็นสมาชิกของทีมเชียร์ลีดเดอร์, ชมรมว่ายน้ำ, ชมรมโปโล, ชมรมละครและทำงานในกองบรรณาธิการของหนังสือแม็กกาซีนนักศึกษา Lampoon และ Harvard Monthly 
1910 จบจากฮาร์วาร์ด และเริ่มทำงานให้กับหนังสือ The American Magazine และแม็กกาซีน Landscape Architecture 
แต่งงานกับหลุยส์ เบรียนต์ (Louise Bryant)  
1913 มาทำงานให้กับแม็กกาซีน The Masses 
รี๊ดถูกจับครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วมในการประท้วงของแรงงานทอผ้าที่แพตเตอร์สัน (Patterson Silk Strike) ที่เรียกร้องให้มีการจำกัดชั่วโมงทำงานต่อวันที่แปดชั่วโมง แต่ว่ารัฐบาลได้ทำการปราบปรามการประท้วงอย่างรุนแรง และรี๊ดถูกจับขังเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  ซึ่งทำให้ต่อมาเขาได้เขียนบทความ War in Paterson เพื่อบรรยายเหตุการณ์ดังกล่าว 
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ รี๊ดมาทำงานข่าวการปฏิวัติในแม็กซิโก (Mexican revolution) ให้กับหนังสือแม็กกาซีน Metropolitan โดยที่เขาต้องไปอาศัยนอนอยู่ในแคมป์ที่ปานโช่ (Pancho Villa) กว่าสี่เดือน  รี๊ดไม่เห็นด้วยกับนโยบายของอเมริกาต่อเม็กซิโก เขาเขียนเอาไว้ว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ เสริมสร้างอารยธรรมให้กับพวกเขาด้วยการใช้กระบอกปืน เพื่อทำให้คนต่างชาติรับนโยบายจากต่างชาติเช่นเราซึ่งคิดว่าตนเองเป็นสถาบันประชาธิปไตย”
1914 เขียนหนังสือ Insurgent Mexico 
ไม่นานหลังจากเยอรมันประกาศสงครามกับฝรั่งเศส รี๊ดได้เดินทางมาอิตาลีประเทศที่ยังเป็นกลางในสงคราม และได้พบรักกับเมเบล ดอดจ์ (Mabel Dodge) ที่เมืองเนเปิ้ล 
1915 เดินทางมารัสเซีย แต่เขาถูกทางการรัสเซียสงสัยว่าน่าจะเป็นสายลับ เขาจึงหลบหนีไปยังโรมาเนีย 
1916 The War in Eastern Europe 
หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับสหรัฐฯ  และได้พบรักกับหลุยส์ ไบรอัน (Louise Bryant) และได้แต่งงานกันในช่วงปลายปี
1917 2 เมษายน, ประธานาธิบดีวิลสัน (Woodrow Wilson) ประกาศนำสหรัฐฯ เข้าร่วมในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้รี๊ดผิดหวัง เพราะเขาเคยสนับสนุนวิลสันช่วงการเลือกตั้งเพราะเชื่อคำมั่นของวิลสันที่ประกาศว่าจะไม่นำประเทศเข้าร่วมในสงคราม
สิงหาคม, รี๊ดถูกส่งมารัสเซีย โดยหนังสือแม็กกาซีน The Masses ซึ่งช่วงเวลาที่เขาเดินทางมาถึงรัสเซียในช่วงที่รัฐบาลเฉพาะกาลของเคเรนสกี้ (Alexander Kerensky) ถูกทำรัฐประหารโดยกำลังทหารนำโดยนายผลลาฟร์ คอร์นิลอฟ (Lavr Kornilov) แต่ว่ารัฐบาลของเคเรนสกีสามารถปราบปรามคณะรัฐประหารได้
รี๊ดเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในรัสเซียไปให้กับ The Masses แต่ว่าแม็กกาซีนดังกล่าวปฏิเสธที่จะพิมพ์บทความของเขา แต่ว่า Max Eastman ได้นำบทความไปลงในหนังสือแม็กกาซีน The Liberator แทน 
พฤศจิกายน, รี๊ดในมีโอกาสเห็นเหตุการณ์การปฏิวัติตุลาคม (October Revolution) ในรัสเซียที่นำโดยเลนิน (Vladimir Lenin) และบอลเชวิค (Bolshevik) ที่สามารถโค่นล้มรัฐบาลเคเรนสกี้ลงได้ 
รี๊ดให้การสนับสนุนการปฏิวัติของบอลเชวิค เขามีโอกาสได้พบกับเลนิน และทร็อตสกี้ (Leon Trotsky) ผู้นำของบอลเชวิคด้วย
ไม่นานเขาก็ได้ทำงานเป็นนักแปลในกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย รับหน้าที่ในการแปลข่าวและคำสั่งของรัฐบาลไปเป็นภาษาอังกฤษ
1919 10 Days That Shook The World ถูกพิมพ์ออกมา
1920 17 ตุลาคม, เสียชีวิตในมอสโคว์ ร่างของเขาถูกนำไปฝังที่จุดเนโครโพลิส (Kremlin Wall Necropolis) ของเครมลิน เขาเป็นเพียง 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ถูกฝัง ณ.ที่ตรงนี้
1981 วาร์เรน บีตตี้ (Warren Beatty) ทำหนังเรื่อง Reds เกี่ยวกับชีวประวัติของรี๊ด รี๊ด และชนะสามรางวัลออสก้า
1982 ในสหภาพโซเวียต เซอร์เกย์ บอนดาร์ชุก (Sergey Bondarchuk) สร้างหนังเกี่ยวกับรี๊ด ชื่อ Red Bells (Красные Колокола)
Don`t copy text!