Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Francis Picabia

ฟรานซิส ปิคาเบีย (Francis-Marie Martinez Picabia)
ปิคาเบีย เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1879 ในปารีส พ่อของเขาเป็นชาวคิวบาเชื้อสายเสปน ชื่อฟรานซิสโก้ (Francisco Vicente Martinez Picabia) และแม่ชาวฝรั่งเศสชื่อมาเรีย (Marie Cecile Davanne) 
แม่เสียชีวิตด้วยโรควัณโรค ตอนที่ปิคาเบียมีอายุ 7 ขวบ  
1895 เข้าเรียนที่ École des Arts Decoratifs โดยได้เรียนกับเฟอร์นันด์ คอร์มอง (Fernand Cormon), เฟอร์ดินันด์ ฮัมเบิร์ต (Ferdinand Humbert) และอาจารย์อื่นๆ อีกหลายท่าน 
ช่วงเวลานี้งานส่วนใหญ่ของปิคาเบียเป็นภาพสีน้ำ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาวาดภาพอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) โดยได้รับอิทธิพลจากงานของคามิลล์ ปิซซาร์โร่  (Camille Pissarro) และอัลเฟรด ซิสลีย์ (Alfred Sisley) 
1905 ปิคาเบียจัดนิทรรศกาลศิลปะเดี่ยวเป็นครั้งแรก ที่เฮาส์แมนน์แกลลอรี่  (Galerie Haumann) ในปารีส ซึ่งภาพที่นำมาแสดงส่วนใหญ่เป็นภาพภูมิทัศน์ ซึ่งนิทรรศกาลครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง และได้นำภาพเขียนไปเปิดแสดงเดียวอีกหลายครั้งในเมืองใหญ่อย่าง ลอนดอน, เบอร์ลิน
1909 ปิคาเบีย เปลี่ยนมาวาดภาพสไตล์เฟาวิซึ่ม (Fauvism) , คิวบิซึ่ม (Cubism) แต่ว่าผลงานแนวใหม่ของเขากลับไม่ได้รับความนิยม และนั่นทำให้เอาส์แมมน์แกลลอรี่ที่เคยทำสัญญากับเขาไม่พอใจและยกเลิกการแสดงงานเขียนของเขา
แต่งงานกับเกเบรียลลี่ (Gabrielle Buffet) ซึ่งเป็นนักดนตรี
1911 เข้าร่วมกับกลุ่ม Puteaux Group (Golden Section) ซึ่งเป็นกลุ่มของศิลปินหลายสาขาที่นิยมศิลปะแนวคิวบิซึ่ม ก่อตั้งโดย อัลเบิร์ต เกลียเซส (Albert Gleizes), ณอห์น เมตซิงเจอร์ (Jean Metzinger) 
ช่วงเวลานี้ เขายังได้รู้จักกับมาร์เซล ดูแชมป์ (Marcel Duchamp) ซึ่งมีอิทธิผลต่องานของปิคาเบีย
1913 เขานำภาพเขีนของตัวเองไปแสดงในนิทรรศกาลศิลปะสมัยใหม่ที่นครนิวยอร์ค ซึ่งผลงานของเขาได้รับการตอบรับเป็นอย่างนี้ 
หลังจากกลับจากนิวยอร์ค มาปารีส ปิคาเบียได้นำภาพเขียนสองชิ้นที่มีชื่อเสียงของเขาในแนคิวบิซิ่ม อย่าง Edtaonisl, Udnie มาจัดแสดงที่ Salon d’Automne 
1914 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ปิคาเบียเป็นทหารที่ถูกส่งไปคิวบา แต่ว่าเมื่อภาระกิจของเขาถูกยกเลิกเขาก็เข้าไปอยู่ในนิวยอร์ค และผลงานศิลปะของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นแนวจักรกล (Machinist)
1916 เขาย้ายออกจากนิวยอร์คและมาอยู่ในบาเซโลน่า, สเปน ช่วงเวลานี้งานศิลปะของเขาเปลี่ยนไปแนวศิลปะแนวดาด้า (Dada)  ปิคาเบีย ได้รับฉายาว่า “Papa Dada”
เขาทำหนังสือแม็กกาซีน “391” และได้วาดภาพประกอบลงบนแม็กกาซีน
1917 มีผลงานเขียนหนังสือบทกวีของตัวเอง ชื่อ Cinquante-deux miroirs 
ปีนี้เขาได้รู้จักกับเจอเมน เอเวอร์ริ่ง (Germaine Everling) ซึ่งเธอกลายเป็นภรรยาของเขาอีกคน
1921 ปิคาเบียน เปลี่ยนมาวาดภาพในสไตล์ของเซอร์เรียลลิสต์ (Surrealist)  ซึ่งมีผลงานภาพเขียนแนวนี้อออกมา อย่าง ภาพชุด “Monsters”, “Transparences” 
1924 มีเขียนบทภาพยนต์ให้กับหนังสั้น Entr’acte (Intermission) ที่กำกับโดยรีน แคร์ (Rene Clair) 
มีผลงานเขียนชีวประวัติของตัวเองในแนวนิยาย ชื่อ Caravanserail
1925 ย้ายไปอยู่ตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งเขาให้เวลาเขียนภาพนู๊ด ให้กับแม็กกาซีน “girlie” 
1940 เขาแต่งงงานกับโอลก้า (Olga Mahler) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาย้ายกลับมาอยู่ในปารีส 
1945 มีผลงานเขียน Thalassa dans le desert
ช่วงปั่นปลายชีวิต ปิคาเบีย กลับมาเขียนภาพในแนวแอ๊บสแตร็ค และมินิมอลิสต์ (minimalist) นอกจากนี้เขายังติดการพนันจนหมดตัว 

1953 30 พฤศจิกายน, เสียชีวิตในปารีส ขณะมีอายุ 74 ปี
Don`t copy text!