Life does not come with instructions on how to live, but it does come with trees, sunsets, smiles and laughter, so enjoy your day.

ชีวิตไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต

แต่ชีวิตมาพร้อมกับต้นไม้, พระอาทิตย์ตก, รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ 

―Debbie Shapiro

Sidney Reilly

image

ซิดนีย์ ไรล์ลี (Sidney Reilly)

สายลับ ฉายา Ace of Spies , ตัวจริงของเจมส์ บอน์ด 

ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เกิดของไรล์ลีแน่นอน 
หนังสือ Ace of Spies: The True Story of Sidney Reily บอกว่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1873 ในเคอร์สัน (Kherson, Ukriane) รัสเซีย โดยชื่อจริงว่าชโลโม่ โรเซนบลัม (Shlomo Rosenblum) โดยเป็นลูกนอกสมรสของลูกนางพัวลิน่า (Paulina Bramson) กับ ดร.มิคาอิล (Mikhail Abramovich Rosenblum)  แต่ว่าเขาเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของพ่อบุญธรรม ชื่อเฮิร์ช  (Hersh  Rozenblum) ซึ่งเป็นญาติของ ดร.มิคาอิล มีอาชีพเกษตรกรรม   ไรล์ลีมีพี่น้องผู้หญิงอีกสองคนคือ อิลีน่า (Elena) กับมาเรียม (Mariam) 
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของเขา แต่ไรล์ลีมีความรู้เกี่ยวกับวิชาเคมีพอสมควร และรู้ภาษาอังกฤษ, โปแลนด์, เยอรมัน, รัสเซียและฝรั่งเศส
1892 ไรล์ลี เล่าภายหลังว่าในปีนี้เขาถูกจับโดยตำรวจลับของซาร์ เพราะเขาเป็นสมาชิกของกลุ่ม Friends of Enlightenment (Друзья просвещения) ซึ่งหลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาก็ได้รับคำบอกเล่าจากเฮิร์ชพ่อบุญธรรมว่าแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว ไรล์ลีหลังจากนั้นได้อำพรางตัวเองโดยสร้างเหตุการณ์ว่าตัวเขาเองได้เสียชีวิตไปแล้วที่ท่าเรือในโอเดสสา(Odessa) แล้วเปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่ว่า ซิกมุนด์ (Sigmund Rosenblum) และได้แอบโดยสารเรือสัญชาติอังกฤษเดินทางมาที่อเมริกาใต้
เมื่อมาอยู่ในบราซิล เขาใช้ชื่อใหม่ว่าเปโดร (Pedro) หารายได้โดยทำงานรับจ้างต่างๆ แล้วแต่จะถูกจ้าง
1895 ได้งานเป็นพนักงานทำอาหารให้กลุ่มนักสำรวจของอังกฤษ ซึ่งระหว่างนั้นได้ช่วยชีวิตของทีมสำรวจและร้อยเอกชาร์ล (Major Charles Fothergill) ระหว่างที่กำลังถูกคนพื้นเมืองทำร้าย ซึ่งร้อยเอกชาร์ลได้ตอบแทนเขาโดยมอบพาสสปอร์ตอังกฤษให้เขา พร้อมด้วยเงินอีก 1,500 ปอน์ด ทำให้เขาเดินทางมาอังกฤษโดยใช้ชื่อ ชิดนีย์ โรเซนบลัม (Sidney Rosenblum)
หนังสือ Ace of Spies ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิล หนังสือเล่าว่าไรล์ลีเดินทางมาลอนดอนจากฝรั่งเศส โดยเขาได้เงินจำนวนมากมาจากการปล้นเงินซึ่งใช้สนับสนุนการปฏิวัติของนักเคลื่อนไหวชาวอิตาลีสองคน โดยร่วมกับแยน โวเต็ก (Yan Voitek) เพื่อนของเขา ในวันที่ 25 ธันวาคม โดยคนอิตาลีชื่อ คอนสแตนต์ คาสซ๋า (constant Della Cassa) ถูกปาดที่คอและเสียชีวิตภายในโรงพยาบาล 
ในลอนดอนไรล์ลี ตั้งบริษัท Ozone Preparations Company ซึ่งอ้างว่ามีพลังพิเศษในการรักษาโรค ช่วงนี้เองทำให้เขได้รู้จักกับวิลเลี่ยม เมลวิลล์ (William Melville) ซึ่งวิลเลี่ยมต่อมาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ  (British Secret Inteligence Service~ SIS, MI6) คนแรก
1896 ได้รับสถานะสมาชิกของสมาคมเคมี (Chemical Society)
1897 เป็นสมาชิกของสถาบันเคมี (Institute of Chemistry) 
1898 22 สิงหาคม, แต่งงานกับมาร์กาเร็ต โทมัส (Margaret Thomas (Callaghan), 1874-1933) ซึ่งเป็นหญิงม่าย อดีตภรรยาของเรเวอเร็นด์ โทมัส (Reverend Hugh Thomas) ซึ่งเรเวอเร็นต์เสียชีวิตอย่างปริศนาก่อนที่ไรล์ลีและมาร์กาเร็ตจะแต่งงานกันเพียง 4 เดือน 
1899 หนังสือ Trust No One : The Secret World of Sidney Reilly (2003) บอกว่าในปีนี้ไรล์ลี ได้รับพาสสปอร์ตซึ่งใช้ชื่อ ซิดนีย์ ไรล์ลี (Sidney George Reilly) โดยผู้ทำพาสสปอร์ตให้เขาคือเมลวิลล์  ทำให้เขาเปลี่ยนมาใช้ชื่อที่รู้จักกันนี้นับตั้งแต่นั้น
มิถุนายน, เดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พร้อมกับภรรยา
1904 ทำงานให้กับบริษัทการค้า M. A. Ginsburg & Company ที่เมืองพอร์ต อาร์เธอร์ ในประเทศจีน (Port Arthur, China) โดยเบี้องหลังเป็นสายลับสองหน้าให้กับอังกฤษและญี่ปุ่น บริษัทแห่งนี้บริหารโดยมอยซี กินสเบิร์ก (Moisei Akimovich Ginsburg) ซึ่งเป็นสายลับเช่นกัน , พอร์ต อาร์เธอในช่วงนี้ยังอยู่ใต้การบริหารของรัสเซีย ช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ญี่ปุ่น ไรล์ลีและกินสเบิร์กอาศัยช่วงก่อนสงครามนี้หากำไรจากการค้าขาย
1906 เดินทางมาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และได้เข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติ โดยเชื่อว่าเขากำลังทำงานให้กับอังกฤษ โดยถูกว่าจ้างโดย แมนฟิลด์ คัมมิ่ง (Mansfield Cumming) เพื่อดูความเคลื่อนไหวของซาร์
1909 ถูกส่งไปจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับเรือรบของเยอรมัน ซึ่งไรล์ลีเข้าทำงานกับโรงงาน Essen plant  โดยใช้ชื่อคาร์ล ฮาห์น (Karl Hahn) ทำงานเป็นโฟร์แมน  , ไรล์ลี แอบเข้าไปในสำนักงานแล้วขโมยแปลนของเรือออกมา แต่เขาถูกคนงานด้วยกันเห็น แต่เขาหลบหนีมาได้ 
1914 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไรล์ลีเดินทางไปยังนิวยอร์ค, สหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ประสานงานในการขอซื้ออาวุธให้กับรัสเซียและเยอรมัน
1917 มาอยู่ในลอนดอน ช่วงหนึ่งและได้เข้าร่วมกับฝูงบินอังกฤษ (Royal Flying Corps) 
1918 MI6 ได้ส่งตัวเขากลับมายังรัสเซีย  โดยเขาอ้างว่าถูกขอร้องโดยเออร์เนส์ต บอยซ์(Ernest Boyce) ให้มาสังหารเลนิน (Vladimir Lenin)  , ไรล์ลี ได้วางแผนร่วมกับบอริส ซาวินกอฟ (Boris Savinkov) ซึ่งเป็นหัวหน้าของ UDMF (Union for the Defence of the Matherland and Freedom) ซึ่งต่อต้านการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย ซาวินกอฟเคยเป็นรองรัฐมนตรีสงคราม(Deputy War Minister) ในรัฐบาลเฉพาะกาลมาก่อน หลังรํฐบาลเฉพาะกาลล้มเขาจึงก่อตั้ง UDMF ,  พวกเขาร่วมกันวางแผนโค่นล้มรัฐบาลบอลเชวิคหลายหน
30 สิงหาคม, มอยซี อูริตสกี (Moisei Uritsky) หัวหน้าหน่วยเชก้า (Cheka) ถูกสังหาร หนังสือพิมพ์ในรัสเซียตีข่าวว่าเขาถูกสังหารโดยเครือข่ายของสายลับอังกฤษ ทำให้สายลับหลายคนอย่าง บอยซ์, โรเบิร์ต ล็อคฮาร์ต (Robert Bruce Lockhart), จอร์จ ฮิลล์ (George Hill) ถูกจับ แต่ว่าไรล์ลีหนีรอดมาโดยลักลอบเดินทางอกจากรัสเซียมารับเรือรบของเนเธอร์แลนด์ 
1921 ทำงานเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับเอ็ดเวิร์ด สเปียร์ (Edward Louis Spears) อยู่หนึ่งปี 
1923 ในอังกฤษ แรมเซย์ แม็คโดนัลด์ (Ramsay MacDonald) ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของอังกฤษที่มาจากพรรคแรงงาน (Labour Party)
1924 แม็คโดนัลด์พ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง
1925 ไรล์ลี และชาวินกอฟ ถูกหลอกให้เดินทางไปยังมอสโคว์ โดยบอกว่าเขาจะได้พบกับหัวหน้าขององค์กร MUCR (Monarchist Union of Central Russia)  ซึ่งต่อต้านบอลเชวิค (MUCR เป็นองค์กรปลอมๆ ที่ฝ่ายโซเวียตอุปโลกขึ้นเพื่อใช้หลอกผู้ต่อต้านบอลเชวิค)
25 กันยายน, เขาข้ามพรหมแดนฟินแลนด์เข้าไป และไปพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งชานมอสโคว์ ซึ่งสองวันต่อมาเขาถูกจับ
5 พฤศจิกายน, ถูกประหาร
Don`t copy text!