Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Augustus

ออกัสตัส (Augustus)

จักรพรรดิพระองค์แรงของจักรวรรดิโรมัน 
ออกัสตัส เมื่อตอนแรกเกิด ทรงมีพระนามว่า เกียอุส อ๊อคเตเวียส ธูรินุส (Giaus Octavius Thurinus) พระองค์เกิดในวันที่  23 กันยายน 63 BC  ในกรุงโรม เขาเกิดบริเวณเนินปาลาไตน์ (Palatine Hill) ใกล้กับโรมันฟอรั่ม (Roman Forum) 
ออกัสตัส พระองค์มีพระนามเดียวกับพระบิดา เกียอุส อ๊อคเตเวียส (Gaius Octavius, 100-59 BC) เป็นผู้ปกครองมาเซโดเนีย (Macedonia) ส่วนพระมารดานั้นชื่อว่า เอเทีย บาลบา เซียโซเนีย (Atia Balba Caesonia) ซึ่งมีเป็นหลานสาวของจูเรียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เซียโซเนีย เป็นภรรยาคนที่สอง อ๊อคเตเวียส(คนพ่อ) ทั่งคู่มีลูกด้วยกันสองคน คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อ อ๊อกตาเวีย (Octavia Minor, b 69 BC) 
ส่วนพี่สาวซึ่งเกิดจากภรรยาคนแรกของพ่อนั้นถูกอ้างถึงในชื่อ อ็อคเตเวีย เมเจอร์ (Octavia Major) แม่ของเธอชื่อแอนชาเรีย (Ancharia
ตอนเด็กของออกัสตัส เขาเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเวลเวไตร (Velletri) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดา ห่างจากโรมไป 40 กิโลเมตร  แต่ว่าเขาไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อเท่าไหร่ เพราะว่าพ่อของเขาถูกส่งไปทำงานเป็นผู้ปกครองของมาซีโดเนีย
59 BC ตอนที่อ๊อคเตเวียสอายุได้ 4 ปี พ่อของเขาก็เสียชีวิต ในเมืองโนล่า (Nola) 
57 BC  แม่ของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ลูเซียส ฟิลิปปัส  (Lucius Marcius Philippus) ซึ่งเป็นผู้ปกครองซีเรีย (Syria) ฟิลิปปัส นั้นได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกงสุลในรัฐสภาของโรมัน (Consul) ในปี 56 BC ตัวเขาเองนั้นอ้างว่าเป็นเชื้อสายของอเล็กซานเดอร์ มหาราช  เขาเองนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับอ๊อคเตเวียสเท่าไหร่ และได้ส่งอีอคเตเวียสให้ไปอยู่ในการดูแลของย่าชื่อ จูเลีย ซีซาริส (Julia Caesaris) ซึ่งเป็นพี่สาวของจูเรียส ซีซาร์ 
52 BC จูเลีย ซีซาริส เสียชีวิต ออกัสตัสปรากฏตัวต่อหน้าสาธารชนครั้งแรกโดยเป็นผู้ถืออัษฐิของจูเลีย , หลังจากนั้นออกัสตัส กลับมาอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง
44 BC อ๊อคเตเวียส กลายเป็นบุตรบุญธรรมของซีซาร์ ทำให้เขาปรับชื่อตัวเองใหม่ว่า เกียอุส จูเรียส ซีซาร์ อ๊อคตาเวียนุส (Gaius Julius Caesar Octavianus) ซึ่งบางครั้งนักประวัติศาสตร์มักเรียกเขาว่า อ๊อคเตเวียน (Octavian
46 BC ออกัสตัส ตั้งใจจะเข้าร่วมในสงครามกับซีซาร์ ในการบุกอิสปาเนีย  (Hispania) แต่ว่าออกัสตัสก็ล้มป่วยเสียก่อน
44 BC 15 มีนาคม จูเรียส ซีซาร์ ถูกสังหาร  ในขณะนั้นออกัสตัส กำลังฝึกทหารอยู่ในเมืองอโปลโลเนีย (Apollonia) เมื่อทราบข่าวเขาจึงแล่นเรือไปยังบรุนดิเซียม (Brundisium เมื่อท่าปลายสุดของอิตาลี) เพื่อพบกับกองทหารที่สนับสนุนซีซาร์ และอ้างกรรมสิทธิในฐานะผู้ซึ่งซีซาร์ตั้งใจจะให้เป็นผู้สืบทอด
 ซึ่งเมื่อไปถึงออกัสตัสได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทหารเหล่านั้น ออกัสตัส ใช้เงินงบประมาณของเมืองบรุนดิเซียม ที่มีอยู่ 700 ล้านเซสเตอร์ (sesterces) ในการพื้นฟูกองทัพใหม่ โดยที่สภาซีเนสไม่ว่าอะไร เมื่อรู้ว่าออกัสตัสต้องการสร้างกองทัพเพื่ไปปราบมาร์ก แอนโทนี (Mark Antony) ศัตรูของสภาซีเนตในเวลานั้น  , ออกัสตัสสามารถรวบรวบทหารได้กว่า 3,000 คนในเวลาไม่นาน 
6 พฤษภาคม ออกัสตัสมาถึงกรุงโรม 
มาร์ก แอนโทนี่ หนีออกจากโรม ไปยัง Cisalpine Gaul
43 BC 1 มกราคม ได้รับตำแหน่งวุฒิสภาชิก (Senator) ในสภาซีเนต  และได้รับยศ Imperium ซึ่งทำให้สามารถบัญชาการกองทหารได้อย่างถูกต้อง
14 เมษายน การรบที่ฟอรั่มกัลโลรั่ม (Battle of Forum Gallorum) ทางเหนือของอิตาลี ระหว่างทหารของมาร์ก แอนโทนี่ กับทหารฝ่ายสาธารณะรัฐโรมัน  ซึ่งออกัสตัส ก็ร่วมในสงครามนี้ด้วย ฝ่ายของ
21 เมษายน สมรภูมิมูติน่า (Battle of Mutina) ฝ่ายออกัสตัสและสาธารณรัฐที่มีกำลังมากกว่า สามารถเอาชนะมาร์ก แอนโทนี่ได้อย่างไม่ยากเย็น ทำให้มาร์ก แอนโธนี่ ต้องถอยหนีไปอยู่ที่ Transalpine Gaul
ตุลาคม มีการเจรจากันระหว่างออกัสตัส, มาร์ก แอนโธนี , และเลปิดัส (Lepidus) ที่เมืองโบล็อกน่า  (ฺBologna) เพื่อก่อตั้งกลุ่มไทรอัมวิเรท ที่สอง (Second Triumvirate การปกครองโดยสามคน มีการตั้งกลุ่มลักษณะนี้ครั้งแรกในสมัยของจูเรียส ซีซาร์ ) ซึ่งมีลักษณะเป็นเผด็จการทางการทหาร ซึ่งพวกเขาได้ประกาศให้สมาชิกสภาซีเนตกว่า  300 คน เป็นกลุ่มผิดกฏหมาย และได้สั่งยึดทรัพย์พวกเขา เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำสงครามกับฝ่ายที่สังหารจูเรียส ซีซาร์  ทั้ง มาร์คัส บรูตุส (Marcus Junius Brutus) และ เกียส ลองกินุส (Gaius Cassaius Longinus)
42 BC 1 มกราคม , สภาซีเนส มอบสถานะการเป็นเทพเจ้าให้กับ จูเรียส ซีซาร์ Divus Lulius
 ทำให้ออกัสตัส เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Gaius Julius Caesar Divi Fillius ซึ่ง Divi Fillius แปลว่าบุตรของเทพเจ้า 
ตุลาคม การรบที่ฟิลิปปี (Battle of Philippi) ออกัสตัสและมาร์แอนโทนี ร่วมกันรบต่อสู้กับกองทัพของ บรูตัส  กับ เกียส ลองกินุส (Gaius Cassius Longinus)  ซึ่งผลทำให้บรูตัสและลองกินุสแพ้และต้องฆ่าตัวตาย
หลังจากนั้นมาร์ก แอนโธนี่ ได้เดินทางไปอียิปต์ และกลายเป็นพันธมิตรกับคลีโอพัตรา ซึ่งพวกเขาได้พยายามสนับสนุนให้ซีซาเรียน (Caesarion) ลูกชายของจูเรียส ซีซาร์ กับคลีโอพัตรา เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากซีซาร์
ขณะที่ออกัสตัส ซึ่งอยู่ในอิตาลี มีปัญหาว่าจะจัดการกับทหารมาซีโดเนียที่ร่วมรบกับเขาหลายพันนายอย่างไร ในเมื่อเขาไม่มีที่ดินที่จะไปให้ทหารเหล่านั้นเป็นการตอบแทน ออกัสตัสจึงเลือกที่จะยึดเอาที่ดินของชาวโรมัน แล้วนำมาจัดสรรใหม่แบ่งให้กับทหาร ซึ่งทำให้ชาวโรมันไม่พอใจเขา และหันไปสนับสนุนฝ่ายมาร์ก แอนโทนี่ และพี่ชายของเขา ลูเซียส (Lucius Antonius) 
คลอเดีย พูลชรา (Clodia Pulchra) ลูกเลี้ยงของมาร์ก แอนโธนี่ (แม่ของคลอเดียเป็นภรรยาคนที่สามของมาร์ก แอนโทนี่ , มาร์ก เป็นสามีคนที่สอง
40 BC ออกัสตัส แต่งงานกับ สคริโบเนีย (Scribonia) ลูกสาวของ ลูเซียส ลิโบ (Lucius Scribonius Libo)  ซึ่งต่อมา ลูกของออกัสตัส เกิดกับสคริโบเนีย มีชื่อว่า จูเรีย (Julia)
มาร์ก แอนโธนี ทำกองทัพขนาดมหีมา จากอียิปต์มุ่งสู่อิตาลี เพื่อกำจัดออกัสตัส … เขาขึ้นฝั่งที่บรุนดิเซียมและยึดเมืองเอาไว้ได้ แต่ว่าที่ปรึกษาทางทหารของทั้งมาร์ก แอนโธนี และออกัสตัส เองปฏิเสธที่จะทำการรบโดยการอ้างสิทธิให้กับซีซาเรียน  
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีการทำสนธิสัญญาบรุนดิเซียม (Treaty of Brundisium) ระหว่างกัน โดยให้แอนโธนี อยู่ในดินแดนตะวันออกของโรมัน ออกัสตัส อยู่ในดินแดนตะวันตก และเลปิดัสคงอยู่ในแอฟริกา 
ช่วงปลายปี น้องสาวของออกัสตัส, อ๊อคตาเวีย ไมเนอร์ ถูกส่งให้แต่งงานกับมาร์ก แอนโธนี  (ต่อมาทั้งคู่มีลูกด้วยกันชื่อ แอนโตเนีย เมเจอร์ , และ แอนโตเนีย ไมเนอร์)  
39 BC
เซคตัส ปอมเปียส (Sextux Pompeius) บุตรชายของปอมปีย์ (Pompey The Great) ซึ่งมีกองทัพเรือขนาดใหญ่ในเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งโกรธจูเรียส ซีซาร์ ที่ทำให้พ่อของเขาต้องตาย  ได้ขัดขวางเส้นทางการขนส่งข้าวทางทะเลไปยังอิตาลี จนทำให้เกิดความอดอยากในอิตาลี จนออกัสตัส ต้องตกลงทำสนธิสัญญาไมเซนัม (treaty of Misenum) โดยยกดินแดน ซาร์ดินเนีย (Sardinia) คอร์ซิคา (Corsica) เปโลปอนเนซ (Peloponnese) ให้ปอมเปียส 
38 BC 17 มกราคม ออกัสตัสแต่งงานกับ ลิเวีย (Livia Drusilla) วันนี้เป็นวันเดียวกันกับที่จูเรีย ลูกของออกัสตัส กับสคริโบเนียเกิด , ลิเวียเป็นหญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว สามีของเธอชื่อ ทิเบเรียส เนโร (Tiberius Nero) และลูกของลิเวีย กับทิเบเรียส เนโร คือ ทิเบเรียส (Tiberius) ซึ่งต่อมาเป็นจักรพรรดิคนที่  2 ของจักรวรรดิโรมันต่อจากออกัสตัส  กล่าวกันว่า ออกัสตัส ตกหลุมรักลิเวียตั้งแต่แรกเห็น จึงได้หย่ากับสคริโบเนีย และบังคับให้ทิเบเรีย หย่ากับลิเวีย เพื่อที่เขาจะได้แต่งงานกับเธอ
ออกัสตัสเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Imperator Caesar Divi Filius 
ออกัสตัส ทำสัญญาแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือกับมาร์ก แอนโทนี , เขาต้องการที่จะกำจัดเซคตัส ในขณะที่มาร์ก แอนโทนี ต้องการบุกดินแดนปาร์เธีย (Parthia) ซึ่งข้อตกลงให้มาร์ก แอนโทนี มอบเรือ 120  แลกกับทหาร 20,000 นาย แต่ว่ามาร์ก แอนโธนีส่งมอบเรือให้เพียงแค่สิบลำ 
36 BC กองทหารผสมระหว่างออกัสตัสและเลปิดัส ทำการรบกับฝ่ายเซคตัสที่ซิซิลี (Sicily) 
3 กันยายน การรบที่นัวโลชัส (Battle of Naulochus) กองเรือรบของออกัสตัส นำโดย มาร์คัส อะกริปปา (Marcus Vipsanius Agrippa) สามารถทำลายกองเรือรบของเซคตัส ได้จนราบคาบบริเวณทะเลใกล้กับซิซิลี จนเซคตัส ต้องหนีไป ก่อนที่จะถูกจับได้โดยทหารของมาร์ก แอนโธนี และถูกประหารในไมเลตัส (Miletus)
หลังจำกัดเซคตัสได้ เลปิดัส ได้รวมรวมทหารของเซคตัสที่กระจัดกระจายเป็นกองทัพ และพยายามอ้างกรรมสิทธิในซิซิลี เขาประกาศขับไล่ออกัสตัส ออกจากดินแดน แต่ปรากฏว่าออกัสตัส ได้เสนอเงินจำนวนมากให้กับทหารเหล่านั้น จนพวกเขาย้ายข้างมาสนับสนนุนออกัสตัส และเลปิดัสต้องยอมแพ้ และเขาถูกปลดออกจาก Second Triumvirate ทำให้เลปิดัสหมดอำนาจไป ถูกเนรเทศไปยังหมู่บ้านแห่งหนี่งในปลายแหลคีร์เซ (Cape Circei)  , โรมันเหลือผู้มีอำนาจเพียงสองคน คือ ออกัสตัสและมาร์ก แอนโธนี 
34 BC มาร์ก แอนโธนี่ สามารถรบเอาชนะและยึดอาณาจักรอาร์เมเนีย (Kingdom of Armenia) เอาไว้ได้ เขาได้แต่งตั้งให้คลีโอพัตราเป็นพระราชินี และให้ลูกชายของเขา อเล็กซานเดอร์ เฮเลียส (Alexander Helios) เป็นผู้ปกครองอาร์เมเนีย นั้งทำให้ออกัสตัสมีข้ออ้างต่อสภาซีเนต กล่าวหาว่าว่า มาร์ก แอนโธนี ไม่จงรักภักดีต่อโรมแล้ว 
33 BC 1 มกราคม ออกัสตัสได้รับตำแหน่ง กงสุล (Consul) 
32 BC ช่วงปลายปี สภาซีเนต เพิกถอนตำแหน่งกงสุล ของมาร์ก แอนโธนี และประกาศสงครามกับอียิปต์
31 BC 2 กันยายน การรบที่แอคเทียม (battle of Actium) การการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของมาร์ก แอนโทนี่ และกองทัพของอียิปต์ พวกเขาต้องสูญเสียทหารไปกว่าห้าพันนายและเรือกว่าสองร้อยลำ จนไม่มีกองทัพเพียงพอที่จะรับมือออกัสตัสได้อีกและต้องหนีกลับไปอเล็กซานเดรีย
30 BC 1 สิงหาคม ออกัสตัส ยึดอเล็กซานเดรียได้สำเร็จ ทำให้ มาร์ก แอนโทนี  และคลีโอพัตรา (Cleopatra Philopator) ต้องฆ่าตัวตายแล้ว
29 BC สิงหาคม เขาเดินทางกลับมาถึงกรุงโรม 
27 BC 13 มกราคม  ซึเนตผ่านกฏหมาย The First Constitutional Settlement , มอบจังหวัด ฮิสปาเนีย ทาร์ราโคเนนซิส, ฮิสปาเนียน แบติคา, เทรส กาลเลีย, กัลเลีย นาร์โบเนนซิส, ซีเรีย, ไซปรัส, คิลิเซีย แคมเปสทริส (Hispania Tarraconensis,Hispania Baetica, Tres Galliae,Gallia Narbonensis, Syria,Cyprus ,Cilicia Campestris) ให้อยู่ใต้การปกครองของออกัสตัส ในขณะที่สภาซีเนตเองดูแลจังหวัดในอัฟริกาที่เป็นแหล่งผลิตอาหาร และมีกองทัพการดูแลเพียงหกกองทัพ ในขณะที่กองทัพภายใต้ออกัสตัสมีถึงยี่สิบกองทัพ สถานะของออกัสตัส จึงคล้ายเป็นจักรพรรดิของโรม แม้ว่าจะไม่เป็นทางการ
27 มกราคม ออกัสตัส ได้รับการขนานนามใหม่โดยสภาซีเนตของโรมันว่า Imperator Caesar Divi Filius Augustus และถูกนักประวัติศาสตร์อ้างอิงถึงในชื่อออกุสตัส (Augustus)  มาตั้งแต่นั้น Augustus มาจากคำว่า Augere ในภาษาลาติจ แปลว่า เพิ่มขึ้นหรือรุ่งเรือง (increase, illustrious) 
ออกัสตัสได้รับสิทธิในการใช้สัญลักษณ์มงกุฏที่เรียกว่า “civic crown” ซึ่งเป็นรูปใบโอ๊ค 
23 BC มิถุนายน The Second Constitutional Settlement , ออกัสตัส ลาออกจากตำแหน่งกงสุล แต่ว่าออกัสตัสได้รับสิทธิพิเศษในการวีโต้กฏหมายของสภาซีเนต และมีสิทธิในการแทรกแซงทางทหารต่อจังหวัดอื่น ๆ ของโรมันที่เขาไม่ได้ปกครองด้วย 
22 BC ออกัสตัส ไม่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกงสุล ทำให้ประชาชนก่อการประท้วงเพื่อสนับสนุนเขา รวมถึงเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารในกรุงโรม ประชาชนจึงเรียกร้องให้เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อจะได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ในที่สุดสภาซีเนตจึงมอบให้เขาเป็นผู้ดูแลกรุงโรม 
19 BC ได้รับอนุญาตจากสภาซีเนตในการแต่งกายเหมือนกับกงสุล และมีเก้าอีพิเศษของเขานั่งอยู่ระหว่างกงสุลสองคนในสภา 
2 BC เขาได้รับยศ pater patriae (father of the country)
28 BC ออกัสตัสเริ่มก่อสร้างสุสานสำหรับตัวเขา ที่ Campus Martius ในกรุงโรม
14 AD 19 สิงหาคม จักรพรรดิ ออกัสตัส สวรรคต ที่เมืองโนล่า (Nola) บ้านเกิดของพ่อเขา 
ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดคือ  
ข้าเล่นบทของข้าสมบูรณ์ดีหรือยัง ? จะมีเสียงปรมมือหลังจากข้าจากไปหรือไม่
ก่อนมาโรมที่ข้าเห็นสร้างจากก้อนดิน แต่เมื่อข้าจากไปข้ามอบโรมหินอ่อนให้กับพวกเจ้า
Have I play the part well ? Then applaud as I exit
Behold , I found Rome of clay, and leave her to you of marble
ร่างของเขาถูกนำจากโนล่ากลับมายังกรุงโรม และไปฝังที่สุสานซึ่งเขาเองสร้างขึ้น

410 AD กษัตริย์ อลาริก ที่ 1 (Alaric I) แห่งโกธ (Goth)บุกกรุงโรม และได้บุกสุสานของออกัสตัสนำอัษฐิของออกัสตัสมาโปรยไปทั่ว
ตำแหน่ง กงสุล (Consul) ในสาธารณรัฐโรมันนั้นเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยสภากลาโหม (Century Assembly) ครั้งละ 2 คน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง 1 ปี 
Don`t copy text!