Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Dmitri The Three Pretenders

False Dimitri I
ชาย 3 คน ที่อ้างตัวเองว่าเป็นเจ้าชายดมิทรี โอรสของอีวาน ที่ 4
รัสเซียในช่วงยุคสมัยแห่งปัญหา (Time of Troubles , Смутное время) เริ่มในช่วงปี 1598 หลังการเสียสวรรคตของซาร์ ฟีโอดอร์ ที่  1 (Feodor I Ivanovich) ซึ่งเป็นโอรสของอีวาน ที่ 4 (Ivan IV, The Terrible) เมื่อฟีโอดอร์สวรรคต โอรสของพระองค์ ยังอยู่ในช่วงวัยทารก 

ทำให้รัฐสภาได้เลือกพี่ชายของอิริน่า โกดุโนว่า (Irina Godunova) พระมเหสีในฟิโอดอร์ ที่ 1 ,  เจ้าชายเชื้อสายตาตาร์ บอริส โกดุนอฟ (Boris Godunov)  ขึ้นเป็นซาร์องค์ใหม่ 

แต่ว่ารัสเซียช่วงการปกครองของซาร์โบตุนอฟ เผชิญกับวิกฤตด้านการเกษตรอย่างหนัก จนประเทศอ่อนแอ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่สันนิษฐานว่าปัญหาอากาศแปรปรวนที่เกิดในรัสเซียในช่วงนี้ เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟฮัวนาบุติน่า (Huaynaputina, Peru) ในเปรู ในปี 1600 ทำให้รัสเซียเกิดภัยแล้งอย่างหนัก และประชาชนพากันอดอยากล้มตายจำนวนมาก ส่วนคนที่มีชีวิตก็เริ่มไม่เคารพต่อการปกครอง และฝ่ายตระกูลโรมานอฟ 

1604  ชายคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเขาเป็นเจ้าชาย ดมิทรี (Dmitry Ivanovich) พระโอรสของอีวาน ที่  4 ปรากฏตัวขึ้น  ต่อหน้าบาทหลวงจ๊อฟ (Patiarch Job of Moscow) และอ้างสิทธิในบังลังค์ของรัสเซีย แต่ว่าบาทหลวงจ๊อฟเป็นคนหนึ่งที่ปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่เจ้าชายตัวจริง

   เจ้าชายดมิทรีตัวจริงลูกชายของอีวาน ที่ 4  (Ivan IV, The Terrible) เสียชีวิตลงอย่างปริศนาโดยมีมีดปักอยู่ที่ลำคอ และมีข่าวลือกันในหมู่ประชาชนว่าพระมารดาของพระองค์เป็นคนฆ่า 

ซาร์บอริส โกดุนอฟ  (Tsar Boris Godunov) ได้สั่งให้เจ้าชายวาสิลี ชูสกี (Vasily Shuysky) ซึ่งเป็นผู้ที่ออกมาประกาศให้สาธารณชนรับรู้ว่าเจ้าชายดมิทรีตัวจริงนั้นเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว  และคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าชายนั้นเป็นตัวปลอม และให้จับดมิทรีตัวปลอมมาสอบสวน
ดมิทรี ดัวปลอมที่ 1 (False Dimitri I) ได้หนีไปพึ่งใบบุญ เจ้าชายคอนสแตนติน ออสโทรกสกี (Constantine Ostrogski) ในเมืองออสโทรห์ (Ostroh) ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิธัวเนีย (Poland-Lithuania Commonweatlh) ซึ่งต่อมาดมิทรีได้ไปอยู่ในการดูแลของเจ้าชายอดัม (Adam Wisniowieckis) และเจ้าชายไมเคิ้ล (Michal Wisniowiecki) แห่งตระกูลวิสนิโอเวียคกิส (Wisniowieckis) ซึ่งเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในโปแลนด์-ลิธัวเนีย
มีนาคม   เขาปรากฏตัวในศาลของโปแลนด์ โดย ซึ่งกษัตริย์ซิกิสมุนด์ ที่ 3 (Sigismund III Vasa)ได้สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเขาอย่างอ้อมๆ เพื่อทวงบัลลังค์ในรัสเซีย 
ขณะเดียวกับก็ข่าวลือว่าดมิทรี ตัวปลอมนั้นแท้จริงเป็นโอรสนอกสมรสของกษัตริย์สเตฟาน บาโตรี่ แห่งโปแลนด์  (King Stefan Batory) ซึ่งพระองค์เคยปกครองโปแลนด์ในช่วงปี 1575-1586
17 เมษายน ดมิทรีเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ นิกายโรมันแคธอริก ในพีธีที่จัดขึ้นต่อสาธารณะ ซึ่งทำให้เขาได้รับความสนับสนุนจากคนชาวโรมันแคธอริกด้วย
ช่วงเวลานี้ เขาได้พบรักกับหญิงสูงศักดิ์ชาวโปแลนด์ ชื่อมาริน่า มนิวเซช  (Marina Mniszech) เขาสัญญาจะแต่งงานกับเธอหลังจากได้รับบัลลังค์รัสเซียคืนมา
ดมิทรีตัวปลอม นั้นอ้างว่าแม่ของเขามาเรีย นากาย่า (Maria Nagaya) ที่เป็นภรรยาม่ายของอีวาน ที่ 4 นั้น ได้ร่วมกับซาร์บอริส ในการพยายามสังหารตัวเขาเอง แต่ว่ามีหมอคนหนึ่งช่วยเขาเอาไว้ หลังจากหมอคนนั้นเสียชีวิต เขาจึงเดินทางมาโปแลนด์  โดยทำงานเป็นครูอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะรู้จักกับคนในตระกูลวิสนิโคเวียคกิส  ตัวดมิทรีนั้นสามารถพูดได้ทั้งภาษาโปแลนด์และรัสเซีย นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการขี่ม้าและอ่านวรรณกรรมเหมือนคนชั้นสูง ทำให้หลายคนที่พบเห็นเขาอ้างว่าเขาหน้าตาเหมือนอีวาน ที่ 4 และปักใจเชื่อ
ดมิทรี ได้รวบรวบกำลังทหาร เพื่อรบกับทหารรัสเซียโดยการสนับสนุนจากตระกูลชั้นสูงในโปแลนด์ ทั้งคนตระกูลวิสนิโอเวียคกิส , แจน ซาเพียฮา(Jan Sapieha), โรมัน โรซินสกี(Roman Rozynski) โดยที่คนเหล่านี้อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่าเขาเป็นเจ้าชายตัวจริงหรือไม่ แต่เห็นว่าเป็นโอกาสสำหรับโปแลนด์ 
มิถุนายน ดมิทรีเริ่มบุกรัสเซีย เขามีกำลังทหารกว่า 3500 คน และยังได้รับการสนับสนุนจากชาวคอสแซคในรัสเซีย ทำให้สามารถยึดเมือง เชอร์นิกอฟ (Chernigov) ปูตีฟล์ (Putivl) เคิร์ส (Kursk) และ เซิฟส์ก (Sevsk) เอาไว้ได้ 
1905 21 มกราคม (Battle of Dobrynichi) การรบของชูสกีและ ดมิทรี ที่ 1 นั้นเกิดขึ้นที่หมู่บ้านโดบรีนิชี (Dobrynichi) ฝ่ายของชูสกีนำโดยนายพลฟีโอดอร์ (Fyodor Mstislavsky) น่าจะสามารถเอาชนะทหารของดมิทรีได้อย่างง่ายได้ แต่ไม่ทราบเหตุผล ดูเหมือนเขาจะไม่ได้พยายามสังหารดมิทรี ทำให้ดมิทรีหนีไปได้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับซาร์บอริส เขาสั่งยึดทรัพย์สินและปลดชูสกีออกจากตำแหน่ง 
13 เมษายน ซาร์บอริส สวรรคตอย่างกระทันหัน ซาร์องค์ใหม่คือ ฟรีโอดอร์ ที่ 2 (Feodor II) ถูกพวกขุนนางที่หันไปเข้าข้างดมิทรีตัวปลอม จับตัวขังคุก
20 มิถุนายน  ดมิทรีนำกองทหารของเขาเข้ามอสโคว์ได้อย่างง่ายดาย ดมิทรีกับชูสกี กลายมาเป็นพันธมิตรกัน โดยที่ชูสกีได้ประกาศต่อสาธารณะใหม่ว่า เขาสืบสวนอย่างดีแล้ว พบว่าเจ้าชายดมิทรีตัวจริงนั้นยังมีชีวิตอยู่  
21 กรกฏาคม ดมิทรีได้รับการราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์ของรัสเซียอย่างเป็นทางการ โดยที่มาเรีย นากาย่า พระมารดาของดมิทรีตัวจริงขณะนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอบวชเป็นแม่ชี และถูกบังคับให้ยอมรับว่าดมิทรี ตัวปลอมนั้นเป็นดมิทรีตัวจริง โดยจับคนในครอบครัวของเธอไปขังไว้ 
พฤศจิกายน มีการจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง ดมิทรีและ มาริน่า โดยบิชอฟจากโปแลนด์ ชื่อ เบอร์นาร์ (Bernard Maciejowski) ในเมืองกราสโกว์ โดยที่กษัตริย์โปแลนด์ก็ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีด้วย 
1906  พฤษภาคม ช่วงต้นเดือนมาริน่า ในฐานะว่าที่ซาริน่าของรัสเซียได้เดินทางจากโปแลนด์มายังมอสโคว์ด้วยขบวนพาเหรดขนาดกว่า 4,000 คน 
8 พฤษภาคม มาริน่าได้รับการสถาปนาเป็นซาริน่าของรัสเซีย โดยมีการจัดพิธีอภิเษกสมรสที่มหาวิหารอัสเพนสกี โซบอร์ ในมอสโคว์( Uspensky Sobor) โดยมีสังคราชอิกนาเตียส (Patriarch Ignatius) เป็นผู้ทำพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งคู่
ชูสกี กลับมาต่อต้านดมิทรีอีก เขาได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้า และนักบวช ที่มีอำนาจในตอนนั้น รวบกำลังทหาร ราว 18,000 นาย และกลับคำพูดของตัวเองอีกว่าดมิทรีไม่ใช่เจ้าชายตัวจริง  เขาเพียงต้องการกำจัดซาร์บอริสเท่านั้น แต่เมื่อดมิทรี มีอำนาจแล้วเขากลับนำรัสเซียไปอยู่ใต้อิทธิพลของโปแลนด์ เขาจึงรับไม่ได้ และต้องปลดดมิทรีตัวปลอมนี้เสีย
17 พฤษภาคม เกิดการต่อต้านดมิทรี ตัวปลอม ครั้งใหญ่ในมอสโคว์ ผู้ประท้วงได้บุกเข้ามายังเครมลิน และสังหารดมิทรี โดยที่เขาถูกยิงระหว่างที่กำลังจะกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่าง แต่การประท้วงใหญ่ในวันนี้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน 
หลังจากนั้นได้มีการเอาศพของเขามาแสดงให้สาธารณชนดู ก่อนที่จะทำการเผา แล้วเอาอัษฐิในปืนใหญ่ ยิงไปยังทิศทางของประเทศโปแลนด์ 
วาสิลี ชูสกี ได้รับการสถาปนาเป็นซาร์องค์ใหม่ของรัสเซีย 

1608 กรกฏาคม  มาริน่า ซึ่งถูกถอดจากตำแหน่ง และถูกจับไว้หลังการประท้วงใหญ่  ถูกส่งตัวกลับมาถึงยังโปแลนด์ 
พ่อของมาริน่า ที่ชื่อเจอร์ซี  (Jerzy Mniszech) ซึ่งได้ถูกเนรเทศไปยังเมืองยาโลสลาฟ (Yaroslavl) ไม่ยอมถอดใจ เขาอยากจะเป็นพ่อตาของซาร์แห่งรัสเซีย  เขาได้จัดพิธีแต่งงานใหม่ให้กับมาริน่า ในหมู่บ้านตูชิโน่  (Tushino) หมู่บ้านเล็กๆ ทางเหนือของมอสโคว์ โดยที่ เจ้าบ่าวคนใหม่นี้ก็สมอ้างว่าเป็นดมิทรี  (False Dmitri II)
การแต่งงานใหม่นี้เหล่าตระกูลใหญ่ในโปแลนด์ที่เคยสนับสนุนดมิทรี ตัวปลอม ที่ 1 ได้ให้การสนับสนุนแก่ดมิทรี ตัวปลอมคนใหม่นี้อีก โดยให้กองทหารกว่า 7500 คน เพื่อยึดอำนาจในรัสเซียมา 
พวกเขายึดครองเมืองการาเชฟ (Karachev, Bryansk) ของรัสเซียที่อยู่ใกล้โปแลนด์เพื่อเตรียมจะบุกมอสโคว์ และช่วงฤดูใบไม้ผลิก็บุกมอสโคว์
ทหารของดมิทรี ตัวปลอม คนที่ 2 นี้ ปะทะกับทหารของซาร์ชูสกี ที่เมืองโบลคอฟ (Bolkhov, Oryol) โดยที่ฝ่ายดมิทรีกับโปแลนด์มีชัยชนะ เพราะได้รับการสนับสนุนจากคนในเมืองที่เขาสัญญาว่าจะเอาทรัพย์ที่ยึดได้มาขายและแบ่งให้กับชาวบ้านเหล่านั้น
หลังจากนั้นกองทัพโปแลนด์ได้ไปตั้งอยู่ที่เมืองทูชิโน่ (Tushino) ตอนเหนือของมอสโคว์ ซึ่งห่างจากเมืองหลวงไม่กี่ไมล์ ตอนนี้เขามีกำลังรวมกับชาวคอสแซคที่สนับสนุนด้วยเกือบแสนนาย หลายเมืองของรัสเซียเวลานั้นยอมรับเขาในฐานะผู้ปกครองรัสเซีย 
แต่ฝ่ายรัสเซียของซาร์ชูสกี หันไปขอรับการสนับสนุนจากสวีเดน โดยได้ส่งนายพลจาคอฟ การ์ดาย (Jacob De la Gardie) นำทหารสวีเดนมาช่วยเหลือ และสามารถเอาชนะดมิทรีและทหารโปแลนด์ได้ แต่ว่าสถานการณ์ในประเทศเวลานี้มีแต่ความวุ่นวาย  
ซาร์ชูสกี ได้แต่งตั้งให้หลานชายของเขามิคาอิล สโกปิน-ชูสกี (Mikhaill Skopin-Shysky) เป็นผู้ควบคุมกองทัพผสมรัสเซีย-สวีเดน 
ดมิทรี หนีไปได้ จนพบว่าเขากลายเป็นชาวนาอยู่ในคอสโตรม่า (Kostroma) โดยที่มาริน่าก็อยู่ด้วย 
1610 19 กรกฏาคม ซาร์ชูสกี ถูกปลดจากตำแหน่ง โดยเจ้าชายโวโรตินสกี (Vorotynsky) และเจ้าชายมัสติสลอฟสกี (Mstislavsky) และเขาถูกทหารโปแลนด์ สตานิสลุส โซลเกียวสกี (Stanislaus Zolkiewski) นำตัวเขาไปขังยังโปแลนด์ ซึ่งได้สวรรคตระหว่างอยู่ในคุกกอสไตนิน (Gostynin) ใกล้กรุงวอร์ซอร์ ในปี 1612
ดมิทรี ได้รับการสนับสนุนจากชาวดอนคอสแซค (Don Cossacks) ในการบุกมอสโคว์อีก แต่ว่าเขาตายโดยกระสุนจากปืนของเจ้าชายชาวตาตาร์ ปีเตอร์ อูรุสอฟ (Peter Urusov) ในวันที่ 11 ธันวาคม ในขณะที่กำลังเมาอยู่
หลังจากนั้นมาริน่า ได้อยู่ในความคุ้มครองของอดีตกบฏคนหนึ่งเชื้อสายคอสแซ๊ค อิวาน ซารุตสกี (Ivan Zarutsky) ซึ่งหนีไปพี่งพิงโปแลนด์และร่วมในการรบกับดมิทรี ตัวปลอม ที่ 2   , มาริน่า และซารุตสกีแต่งงานกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ลูกชายของมาริน่า ที่ชื่อ อิวาน  (Ivan) ที่เพิ่งเกิดในปี 1611 ในการอ้างกรรมสิทธิ์ในรัสเซียอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นลูกชายของดมิทรี
1611 ดมิทรี ตัวปลอม ที่ 3 (False Dmitry III) ปรากฏตัวขึ้น ในตลาดในเมืองนอฟโกรอด (Novgorod) และประกาศ “เจ้าชายดมิทรียังไม่ตาย” และเขาคือเจ้าชายพระองค์นั้น อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของเมืองจับเขาได้หลังจากสอบประวัติ พบว่าเขาเคยเป็นโจรชื่อซิดอร์ก้า  (Sidorka) จากนั้นเขาก็ถูฏเนรเทศออกจากเมือง 
23 มีนาคม ดมิทรี เดินทางมายังเมืองอิวานโกรอด และประกาศตัวอีกครั้งว่าเขาเป็นเจ้าชาย เขาบอกว่าเขารอดชีวิตจากการรบที่การูก้า (Kaluga) มาได้อย่างปาฏิหารย์ 
หลังจากนั้นเขาได้พบกับนายทหารของสวีเดน Petreev Peter ที่กษัตริย์ชาร์ ที่ 4 (Charles IX) ส่งมา ซึ่งปีเตอร์ได้รายงานว่าดมิทรีเป็นตัวปลอม ทำให้สวีดเดนเลิกสนใจเขา
11 กรกฏาคม ดมิทรี ได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มเล็ก ๆ เขารวบรวบเป็นกองกำลังเดินทัพไปยังเมืองพัสกอฟ (Pskov) เขาพยายามปลุกระดมคนในเมืองให้ลุกฮือประกาศเอกราช แต่ว่าประชาชนรู้แล้วว่าเขาเป็นอดีตหัวขโมย
23 สิงหาคม ดมิทรี หนีมายังเมือง จีดอฟ (Gdov) และได้รวบรวบทหารขึ้นอีก
4 ธันวาคม เขานำทหารกลับมายังพัสคอฟ และได้ประกาศตัวเป็นกษัตริย์ แต่ว่าเขาและทหารของเขาปกครองเมืองด้วยการกดขี่ข่มเหง จนประชาชนไม่พอใจ จนให้ฉายาว่าเป็นหัวขโมยแห่งพัสคอฟ  (Thief of Pskov
1612 18 พฤษภาคม  รัสเซียและชาวคอสแซคร่วมกันยึดเมืองพัสคอฟ และจีดอฟกลับคืนมาได้  โดยที่ดมิทรีพยายามหนีไป แต่ถูกจับตัวได้ในอีกสองวันต่อมา  
1 กรกฏาคม ดมิทรี ถูกจับใส่กรงเพื่อส่งกลับมายังมอสโคว์ แต่ว่าระหว่างทางขบวนถูกโจมตี โดยที่ไม่ทราบชะตากรรมของดมิทรี ตัวปลอม คนที่ 3 นี้ ซึ่งบางก็ว่าเขาถูกประหารไปแล้วหลังจากรัสเซียยึดพัสคอฟ กลับมาได้
1613 มิคาอิล โรมานอฟ  (Mikhail Romanov)ได้รับการสถาปนาเป็นซาร์องค์ใหม่  เป็นซาร์องค์แรกจากราชวงศ์โรมานอฟ และถือเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งปัญหา
1614 มาริน่า และอีวานลูกชาย ซึ่งอาศัยอยู่ในอัสตราคาน (Astrakhan) โดยที่ไม่มีผู้สนับสนุนเธออีก  ถูกชาวเมืองขับไล่จนหนีไปจากเมือง และถูกจับได้ ก่อนที่จะเสียชีวิตในคุกภายในป้อมโกลอมน่า (Kolomna Kremlin) โดยที่อีวานลูกชายเธอถูกยิงเป้าพร้อมสามีคนสุดท้ายของเธอ
Don`t copy text!