Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Agatha Christie

อกาธ่า มารี คลาริสซ่า คริสตี้  (Dame, Agatha Mary Clarissa Chistie)

ราชินีแห่งนิยายฆาตกรรม
อกาธ่า มิลเลอร์ (Agatha Mary Charissa Miller) เกิดในทอร์กัวย์ (Torquay) เมืองเดวอน (Devon) ประเทศอังกฤษ
อกาธ่า เป็นลูกคนสุดท้องในพี่น้องสามคน พี่สาวคนโต ชื่อว่าแม็ดจี (Madge,Margaret Frary Miller,  b.1879) และพี่ชายชื่อมอนตี้ (Monty , Louis Montant Miller, b.1880) ทั้งคู่ห่างจากอกาธ่า กว่า 10 ปี , อกาธ่า นั้นเกิดวันที่  15 กันยายน 1890
แม่ของเธอชื่อ คลาร่า, คลาริสซ่า มาการเร็ต บัวห์เมอร์ (Clara, Clarissa Margaret Boehmer) เป็นลูกสาวของนายทหารอังกฤษ แต่ว่าวัยเด็กคลาร่าอาศัยอยู่กับพี่สาวของแม่ ซึ่งเป็นภรรยาของเศรษฐีอเมริกันคนหนึ่ง ต่อมาคลาร่าได้แต่งงานกับลูกชายของพ่อเลี้ยงของเธอ พ่อของอกาธ่า ที่ชื่อว่า เฟรดเดอริค มิลเลอร์ (Frederick Alvah Miller) มีอาชีพเป็นโบรกเกอร์  
แม็ดจี พี่สาวของอกาธ่า นั้นเข้าเรียนในโรงเรียนตามปกติ แต่ว่าอกาธ่านั้นไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนตามปกติ เพราะแม่ของเธอเห็นว่าเด็กควรเรียนหนังสือตอนอายุ 8 ปีแล้ว แต่ว่าคลาร่าก็สอนอกาธ่าที่บ้านจนสามารถที่จะอ่านหนังสือได้เองตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และพ่อทำหน้าที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ให้ ชีวิตการเรียนของเธอตลอดมานั้นใช้การจ้างครูมาสอนที่บ้าน หรือไปเรียนในคอร์สพิเศษเฉพาะวิชาที่ต้องการที่โรงเรียน อกาธานั้นเรียนทั้งด้านภาษาฝรั่งเศส เปียโน และการร้องเพลง เธอนั้นโปรดการเล่นเปียโน แต่ว่าไม่ชอบการร้องเพลงเพราะมีนิสัยขี้อายมาก
1901 ตอนอกาธ่าอายุ 11 ปี พ่อของเธอก็เสียชีวิต นั้นทำให้คลาร่าใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เธอพาลูกๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ ซึ่งกลายมาเป็นนิสัยรักการเดินทางของอกาธ่า
1912 อกาธา พบกับสามีในอนาคตของเธอครั้งแรก ตอนนั้น อาร์ชิบัล์ด คริสตี้ (Archibald Chirstie) เพิ่งสมัครเข้าเป็นนักบินในฝูงบินอังกฤษ (Royal Flying Crops) ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้การสนับสนุนกองทัพอังกฤษในช่วงสงคราม ซึ่งเครื่องบินสมัยนั้นใช้แค่ในการสังเกตุการณ์
1914 ช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 อกาธาสมัครเข้าเป็นพยาบาลอาสาสมัครให้กับ Voluntary Aid Detachment (VAD) เธอถูกส่งตัวไปทำงานในโรงพยาบาลในทอร์กัวย์
24  ธันวาคม ในคืนคริสมาสต์อีฟ เธอแต่งงานกับ อาร์ชิบัล์ด คริสตี้ แต่ว่าหลังการแต่งงานอาร์ชิบัล์ค ก็ต้องรีบกลับเข้าประจำการใน VAD ในวันที่ 26 ธันวาคม (Boxing Day) เพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติภาระกิจในสงครามด้านฝรั่งเศส
1918 อาร์ชิบัล์ด เข้าทำงานให้กับกระทรวงอากาศ (Air Ministry) เขาได้รับเหรียญ DSO Medal จากการปฏิบัติหน้าที่ในสงครามที่ผ่านมา
1919 5 สิงหาคม , โรซาไลน์ด คริสตี้ (Rosaline Margarte Charissa Hicks (Chirstie)) ลูกสาวเพียงคนเดียวของอกาธ่ากับอาร์ซิบัล์ด เกิดมา
1920 ตุลาคม The Mysterious Affair of Styles เป็นนวนิยายผลงานชิ้นแรก ของอกาธ่า คริสตี้ , เธอใช้เวลาเขียนนิยายเรื่องนี้หลายปี โดยแรงบันดาลใจมาจากคำท้าท้ายจากแม็ดจี้ พี่สาวของเธอเอง ที่บอกให้เธอลองเขียนนิยายดู อกาธ่า เริ่มเขียนในปี 1916 เป็นงานในแนวสืบสวนสอบสวน ซึ่งตั้งแรกเรื่องแรกนี้ อกาธ่า ก็สร้าง เฮอร์คิว ปัวโรต์ (Hercule Poirot) นักสืบที่ต่อมาโลดแล่นในนิยายอีก  33 เรื่อง กับ 51 เรื่องสั้นของอกาธ่า
1922 อาร์ชิบัล์ด ได้รับหน้าที่ให้เดินทางไปโปรโมทนิทรรศการสหราชอาณาจักร (British Empire Exhibition) ซึ่งอกาธ่า ต้องเดินทางไปด้วย ทำให้พวกเขาฝากลูกสาวให้กับแม่ของอกาธ่าคอยดูแล ส่วนตัวพวกเขาต้องเดินทางไปในประเทศเครือจักรภพหลายประเทศในตอนนั้น ทั้งนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ เพื่อการส่งเสริมการค้าและแสดงเทคโนโลยีของอังกฤษ พวกเขาเร่ิมการออกเดินทางวันแรก 1 กุมภาพันธ์ แต่ว่าพอเดินธันวาคม ก็กลับมายังอังกฤษ เพราะว่าเงินหมด
1926 1 กุมภาพันธ์ ทั้งแม่ของเธอเสียชีวิต ด้วยโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) อกาธ่าและลูกสาวจึงได้ย้ายมาอยู่ในแมนชั่นหลังหนึ่งในเบิร์กเชียร์ ซึ่งเธอตั้งชื่อว่า Styles ตามคฤหาสน์ในนิยายของเธอ 
ในช่วงปลายปี อกาธ่า พบกับเรื่องทุกข์หลายเรื่อง  และนอกจากนั้นยังรู้จากสามีว่าเขาแอบนอกใจเธอ มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงใหม่ ชื่อ แนนซี (Nancy Neele) โดยอาร์ชิบัล์ดเป็นฝ่ายที่ต้องการจะหย่าจากอกาธ่า ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกัน
3 ธันวาคม วันศุกร์ , เวลาระหว่าง สามทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าอกาธ่า ออกจากบ้าน Styles ของเธอ ด้วยท่าทางโมโห โดยคนรับใช้เห็นเธอถือกระเป๋าใบเล็กและสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ เธอทิ้งโน็ตเอาไว้ให้กับเลขาวิลเลี่ยม (Willuam Joynson-Hicks) บอกว่าขอยกเลิกนัดหมายทั้งหมดในสัปดาห์นี้ และโน๊ตอีกฉบับฝากไว้ให้สามี แต่ว่าไม่ทราบว่าเขียนข้างในว่าอย่างไร
4 ธันวาคม ในนิวแลนด์ คอร์เนอร์ (Newlands Corner) ในตอนเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถของอกาธ่าถูกจอดทิ้งไว้ ห่างจากบ้านพักของอกาธ่าเป็นระยะทางประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยรถยนต์  ทำให้เกิดข่าวลือกระจายไปประชาชนโดยเฉพาะแฟนนิยายของเธอถึงสาเหตุการณ์หายตัว ซึ่งบางคนสงสัยว่าสามีของอกาธ่า อาร์ชิบัล์ด นั้นได้เป็นคนฆาตกรรมเธอ 
19 ธันวาคม  เจ้าหน้าที่ตำรวจพบอกาธ่า อีกครั้งในโรงแรมสแวน (Swan Hoydropathic Hotel) ในเมืองยอร์คเชียร์ (Yorkshire) 200 ไมล์ห่างจากบ้านของเธอ โดยเธอได้เข้าพักในโรงแรมโดยใช้ชื่อ Mrs. Teresa Neele ในการลงทะเบียน แต่ว่าตัวอกาธ่ากลับจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับการหายตัวไปของตัวเอง
เรื่องราวการหายตัวไปเกือบสามอาทิตย์ของอกาธ่า จึงกลายเป็นเรื่องลึกลับที่เล่าต่อกันมาคู่กับนิยายของเธอ มีทั้งทฤษฏีที่บอกว่าอกาธ่า ตั้งใจทำให้ตัวเองหายไปเพื่อให้สามีถูกสงสัยว่าฆาตกรรมเธอ , หรือบางว่าเธอประสบอุบัติเหตุรถชนจนความจำหายไประยะสั้น , แพทย์ บางท่าน บอกว่า อกาธ่า น่าจะเกิดอาการที่เรียกว่า fugue state  ที่เกิดจากภาวะเครียด ทำให้ความทรงจำหายไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นอาการทางจิตที่หาได้ยาก แต่เหมือนเป็นทฏษฏีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด เพราะระหว่างที่พักในโรงแรมนั้น อกาธ่า อ่านหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวของตัวเองแต่กลับไม่รู้ว่าคนในข่าวเป็นใคร
1928 1 เมษายน อกาธ่า หย่าขาดจากสามี
29 กันยายน , มอนตี้ พี่ชายของอกาธ่า เสียชีวิต
1930 เธอเดินทางไปอิรัก และได้พบกับแม็ก ( Sir, Max Mallowan) นักโบราณคดีมีชื่อเสียงชาวอังกฤษเป้นครั้งแรก ที่โบราณสถาน เออร์ (Ur side) ซึ่งเป็ฯเมืองหลวงของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย  แม็กอาสาพาเธอท่องเทียวไปในทะเลทราย แต่ว่ารถของทั้งคู่เกิดติดอยู่ในทราย จนเดินทางต่อไปได้ จนกระทั้งมีหน่วยทหารอูฐ ผ่านมาช่วยเหลือเอาไว้
จากนั้นเธอเดินทางไปกรีซ พร้อมกับแม็ก  , ตอนอยู่ในกรีซเธอได้รับโทรสารแจ้งว่าลูกสาวมีอาการป่วยมาก  เธอตั้งใจจะเดินทางกลับอังกฤษ แต่ว่าก็ประสบอุบัติเหตุบนถนนจนเดินไม่ได้ ทำให้แม็กต้องตามมาพยาบาลเธอระหว่างกลับอังกฤษ
11 กันยายน อกาธ่า ก็แต่งงานกับแม็ก ในสก็อตแลนด์ โดยที่พี่สาวของอกาธ่า แม็ดจีนั้นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งคู่เลย แต่แม็กได้พิสูจน์และเขากลายเป็นเพื่อนคู่ชีวิต ร่วมเดินทางไปที่ต่างๆ กับอกาธ่า มีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขตลอด 36 ปี ชีวิตของอกาธ่าเปลี่ยนไปมากหลังจากแต่งงานกับแม็ก เธอมักเดินทางกับเขาไปสำรวจโบราณสถานด้วยกัน โดยอกาธ่า ทำหน้าที่ถ่ายรูปวัตถุโบราณที่ขุดขึ้นมาด้วยตัวเธอเอง กลางคืนก็นอนภายในอาคารนิทรรศกาลที่แสดงวัตถุเหล่านั้น
1933 แม็กและอกาธ่าเดินทางไปสำรวจในตะวันออกกลางด้วยกัน ซึ่งปีต่อมาแม็กก็สามารถหาแปลงที่จะลงมือขุดสำรวจได้ในประเทศซีเรีย
1935 ปีนี้เธอและแม็กอยู่ในแปลงโบราณคดี เชก้า บาซาร์ (Chega Bazar) ซีเรีย , อกาธ่า ร่วมในการขุดสำรวจโบราณคดีหลายแห่งในชีเรียระหว่างนี้ ในปี 1937 ยังได้ร่วมในการขุดที่เทล์ล บราก (Tell Brak)
1938 มิถุนายน, ปีเตอร์ (Peter) สุนัขตัวโปรดของเธอเสียชีวิต ด้วยโรคชรา
กันยายน, เธอซื้อคฤหาสน์กรีนเวย์ (Greenway House) ในเมืองเดวอน (Devon) เธอบอกว่าบ้านหลังนี้คือที่ที่เธอรักที่สุดในโลก (The loveliest place in the world)
1940 ลูกสาวคนเดียวของอกาธ่า แต่งงานกับนายทหารหนุ่ม ชื่อ ฮิวเบิร์ก (Hubert Prichard) , ปีนี้เธอเริ่มต้นเขียนนิยาย Curtain ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของนักสืบเฮอร์คิว ปัวโรต์ ในงานของอกาธ่า แต่ว่านิยายเรื่องนี้กว่าจะได้ตีพิมพ์ก๊อีก 35 ปีต่อมา
1941 เธอเริ่มเขียน Black Coffee ซึ่งเป็นผลงานบทละครเวทีเรื่องแรกของเธอ แต่ยังคงแนวการสืบสวนสอบสวน
1942 คฤหาสน์กรีนเวย์ บ้านของเธอถูกใช้เป็นที่ปฐมพยาบาลของทหารสหรัฐในช่วงสงครามโลก , ในขณะที่อกาธ่า ไปทำงานในห้องจ่ายยาของโรงพยาบาล University College Hospital ในกรุงลอนตอน ซึ่งทำให้เธอมีความรู้เกี่ยวกับยาที่สามารถใช้ในนิยายของเธอได้มากขึ้น
1945 ทหารที่อยู่ในคฤหาสน์กรีนเวย์ ถูกย้ายออกไปหมดหลังสงคราม
1959 ได้รับรางวัล Commander of the British Empire, CBE 
1966 แม็ก สามีของเธอได้รับตำแหน่งอัศวิน , ปีถัดมาแม็ก มีอาการป่วยด้วยโรคเส้นเลือดตีบในสมอง ระหว่างไปบรรยายในเปอร์เซีย
1971 1 มกราคม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน Dame Commander of the British Empire (Dame ตำแหน่งอัศวินสำหรับผู้หญิง)
มิถุนายน อกาธ่า วัย 80 กว่า ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูดสะโพก (hip)
1975 นักสืบ เฮอคิว ปัวโรต์ เสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจ , กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ต้องพาดหัวข่าว
1976 เสียชีวิตอย่างสงบวันที่  12 มกราคม 1976 ขณะอายุ 85 ปีใน Cholsey , Oxfodshire ภายในบ้านวินเทอร์บรูก ( Winterbrook) ของเธอ
1977 An Autobiography หนังสือชีวประวัติทีี่ อกาธ่า เป็นคนเขียนเองตีพิมพ์ออกมาหลังเธอเสียชีวิต
Don`t copy text!