Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Alexandra Kollontai

อเล็กซานดร้า โคลลอนไต (Александра Мижайловна Коллонтай)
รัฐมนตรี, และเอกอัครราชทูตที่เป็นผู้หญิงคนแรกในยุโรป  … ผู้ร่วมการปฏิวัติ 1917

นามสกุลเดิมของเธอคือโดมอนโตวิช  (Domontovych) เป็นครอบครัวของขุนนางที่มั่งคั่งสืบเชื้อสายมาจากเจ้าชายดอฟมอนต์ พัสคอฟ(Dovmont Pskov) เธอเกิดในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในวันที่ 31 มีนาคม 1872  พ่อของเธอเป็นนายทหารยศนายพลชื่อไมเคิ้ล โดโมโตวิช (Mikhail Alekseevich Domotovych, Михаил Алексеевич Домонтович) เคยผ่านสมรภูมิในสงครามรัสเซียตุรกี 
แม่ของเธอชื่อว่าอเล็กซานดร้า (Alexandra Masalina-Mravinskaia,  Александра Масалина-Мравинская) เป็นลูกสาวของพ่อค้าไม้ชาวฟินแลนด์

แม่ของเธอเป็นคนที่เจ้าเข้มงวด มีระเบียบ ทำให้โคลลอนไต  สนิทสนมกับพ่อมากกว่าเพราะทั้งคู่สนใจด้านประวัติศาสตร์และการเมืองคล้ายๆ กัน
เธอได้รับการศึกษาอย่างดีจากการเรียนที่บ้านมีความสามารถในการูดได้หลายภาษาและชอบการอ่านหนังสือ
1888  เข้าเรียนที่จิมเนเซี่ยมแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก , และสมัครเรียนด้านการวาดเขียนไปด้วย
1893 เธอเลือกที่จะแต่งงานกับนายทหารจนคนหนึ่ง ชื่อ วลาดิมีร์ โคลลอนไต(Vladimir Kollontai) แม้ว่าก่อนนั้นจะมีนายทหารระดับสูงหลายคนขอเธอแต่งงาน, วลาดิมีร์นั้นเรียนจบทางวิศวกรรมการทหาร  ทั้งคู่พบกันเมื่อสองสามปีก่อน แต่ว่าแม่และพ่อของโคลลอนไต ไม่เห็นด้วยที่คนทั้งสองจะรักกัน เพราะฐานะของวดาดิมีร์
1984  มีลูกชายชื่อว่ามิคาอิล , หลังมีลูกชาย เธอก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้น โดยเริ่มทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับแรงงานในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในช่วงกลางคืน , ทำงานเรียกร้องสิทธิให้กับนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขัง , ช่วงเวลานี้ได้รู้จักอีเลน่า สตาโซว่า (Elena Stasova) ซึ่งใช้ได้เธอคอยแจกใบปลิวที่เขียนบทความที่ผิดกฏหมาย  
1898  เธอทิ้งครอบครัวเพื่อเดินทางไปเรียนต่อ โดยเธอยอมรับว่า “การมีครอบครัวดึงเอาชีวิตและเวลาของเธอไป ฉันอยากจะมีอิสระ เมื่อใดที่ลูกของฉันเข้านอน ฉันมักเดินไปอีกห้องหนึ่งเพื่อใช้เวลาอ่านหนังสือของเลนิน”
 ในสวิส โคลลอนไต สมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยซูริคด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทำให้รู้จักกับศาสตร์จารย์เฮนริช เฮิร์กเนอร์ (Heinrich Herkner) ที่แนะนำให้เธอเดินทางไปศึกษาเรื่องการเคลื่อนไหวของในอังกฤษดู ซึ่งโคลลอนไต ก็เดินทางไปอังกฤษ และได้พบกับสมาชิกพรรคแรงงานของอังกฤษ และได้มีโอกาศรู้จักกับ กับซิดนีย์ เว็บบ์(Sidney Webb) และเบียร์ทริค เว็บบ์ (Beatrice Webb)
1899  เดินทางกลับมายังรัสเซียซึ่งช่วงนี้ได้มีโอกาสรู้จักกัเลนิน และเธอได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค RSDLP ซึ่งตอนนั้นเธอมีอายุ 27 ปี
1901  เดินทางไปยังสวิสเซอร์แลนด์ และได้รู้จักกับ เปลคานอฟ (Georgy Plekhanov)
1903  เมื่อพรรค RSDLP แตกเป็นสองฝ่าย โคลลอนไต ไม่ได้เบือกเข้่าข้างฝ่ายใด เธอบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีเพื่อนของเธออยู่ แต่เธอที่สนิทกับเปลคานอฟ ทำให้เธอใกล้ชิดกับเมนเชวิค มากกว่า
1905  เธออยู่บนถนนในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กช่วงที่มีการประท้วงครั้งใหญ่ของแรงงานในช่วงเดือนมกราคม (Blood Sunday)
1908 เธอหลบหนีอออกจากรัสเซียไปยังเยอรมัน ไม่นานหลังจากเธอตีพิมพ์หนังสือ (Finland and Socialist, Финляндия и социализм) ซึ่งเนื้อหาเธอเรียกร้องให้ชาวฟินแลนด์ลุกขึ้นมาต่อสู้กับการอยู่ใต้อำนาจของรัสเซีย
 จากเยอรมันเธอยังเดินทางไปอีกหลายประเทศในยุโรปทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และได้รู้จักกับ โรซ่า ลักเซมเบิร์ก(Loxa Luxembourg) และ คาร์ล เลียบก์เนชต์ (Karl Liebknecht) สองผู้นำแห่งพรรคแรงงานสังคมนิยมเยอรมัน
1914 เธอเดินทางออกจากเยอรมันก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะเวลานั้นเธอไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม
            โคลลอนไต เดินทางต่อไปยังเดนมาร์กและสวีเดน โดยพยายามรณรงค์ต่อต้านสงครามแต่เธอพบว่าผู้คนส่วนมากสนับสนุนการก่อสงคราม 
          ขณะอยู่ในสวีเดนเธอโดนจับ เพราะต่อว่าระบบกษัตริย์และจักรวรรดินิยมว่าเป็นต้นเหตุของสงคราม แต่หลังจากถูกปล่อยตัวก็เดินทางต่อไปนอร์เวย์
1915 เข้าเป็นสมาชิกพรรคบอลเชวิคอย่างเป็นทางการ
1917 เมื่อเกิดการปฏิวัติในเดือนกุมภาพันธ์ เธอยังคงอยู่ในนอร์เวย์ และได้เดินทางกลับรัสเซีย หลังจากเลนินส่งจดหมายไปบอกว่าสามารถเดินทางกลับได้แล้ว 
           มิถุนายน เธอได้รับเลือกตั้งให้เป็นคณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ของพรรคบอลเชวิค
           กรกฎาคม ถูกรัฐบาลเฉพาะกาลจับขังคุก เพราะว่าเธอรณรงค์ในหมู่ทหารและแรงงานให้มีการโค่นรัฐบาลเฉพาะกาลตามแผนการของเลนิน แต่ว่าไม่นานเธอหลบหนีออกมาได้ และเดินทางไปอยู่ที่สวีเดน
แต่ว่าเธอกลับมารัสเซียอีกครั้งก่อนการปฏิวัตตุลาคม และได้ร่วมโค่นล้มรัฐบาลเฉพาะการ อยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
ช่วงปี 1917 หรือ 1918 เธอเริ่มมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว กับนายทหารเรือหนุ่มปาเวล ไดเบนโก้ (Pavel Dybenko) ซึ่งอายุน้้อยกว่าเธอหลายปี , ในปี 1918 เธอเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านการทำสนธิสัญญาสันติภาพ Breat-Litovsk treaty ที่ต้องการให้โซเวียตถอนตัวจากสงครามโลก
1919.  หลังการปฎิวัติในเดือนตุลาคม เธอได้รับผิดชอบงานในกระทรวงสวัสดิการแรงงาน(People’s Commissar for Social Welfare) เธอเป็นที่รู้จักจากผลงานการก่อตั้งแผนกสตรี (Женотдел ,Women department) ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของสตรีในโซเวียต , 
ในปีนี้เธอนี้ยังได้แต่งงานกับไดเบนโก้  , และได้รับหน้าที่ประธานของแผนกการเมืองในไคเมีย (President of the Political Department of Cirmean Republic) และทำหน้าที่ในการโฆษณาชวนเชื่ออยู่ในยูเครน
ปีนี้เธอมีอาหารป่วยที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและไต ซึ่งเป็นผลจากการป่วยด้วยไข้รากสาดใหญ๋
1920 เธอร่วมกับกลุ่ม Workers’ Opposition ซึ่งเป็นกลุ่มภายในพรรคบอลเชวิคเอง กลุ่มดังกล่าวนำโดยอเล็กซานเดอร์ ชเลียฟนิคอฟ(Alexander Shliapnikov) ผู้นำกลุ่มสหภาพการค้า (Trade Union) กลุ่มดังกล่าได้รับการสนับสนุนจากแรงงานในอุตสาหกรรมเหล็กเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องการเห็นบทบาทของแรงงานและสหภาพแรงงานในการบริหารเศรษฐกิจ และต่อต้านผู้ที่มีอำนาจโดยไม่ได้รับการเลือกตั้ง (bureaucracy) เข้ามามีอำนาจบริหาร
ความสัมพันธ์ระหว่างโคลลอนไต  และชเลียฟนิคอฟ  อาจเคยมีความสัมพันธ์กันแบบชู้สาวตอนที่ทั้งคู่อยู่ในนอร์เวย์
1921 มีนาคม ในการประชุมพรรคครั้งที่ 10  , กลุ่ม Workers’ Opposition ถูกแบนอย่างเป็นทางการ แต่ว่าแกนนำพยายามจะเคลื่อนไหวต่อไป แต่ว่ากลุ่มดังกล่าวถูกกดดันให้ต้องหมดบทบาทจริงๆ ในปี 1922 ซึ่งมีผลกระทบระหว่างความสัมพันธ์ของโคลลอนไต และเลนินอย่างมาก
ในปีนี้เธอเริ่มทำงานให้กับแผนกทางด้านกิจการสตรีขององค์การโคมินเทิร์น (Comintern)
1922 หย่ากับไดเบนโก้ แต่ว่าทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน 
1923  ได้รับแต่งตั้งเป็นฑูตประจำนอร์เวย์ ทำให้เธอเป็นฑูตหญิคนแรกในยุโรป
1926  ย้ายไปเป็นฑูตในเม็กซิโก
1927  กลับมาเป็นฑูตในนอร์เวย์
1930  เป็นฑูตประจำสวีเดน ซึ่งมีผลงานสำคัญระหว่างสงครามรัสเซียและฟินแลนในปัจจุบัน1939 ซึ่งเธอสามารถโน้มน้าวให้สวีเดนวางตัวเป็นกลางได้
1946 มีอาการป่วยมาก จนต้องนั่งอยู่บนรถเข็น และต้องลาออกจากตำแหน่งด้านนักการฑูต แต่เธอได้มาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียต และเธออยู่ในตำแหน่งจนกระทั้งเสียชีวิต
1952 เสียชีวิตในวันที่ 9 มีนาคม ก่อนจะมีอายุครย 80 ปี ไม่กี่สัปดาห์
Don`t copy text!