Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Lazar Kaganovich

ลาซาร์ มอนซีวิช คากาโนวิช (Лазарь Моисеевич Каганович)

Iron Lazar , มือขวาของสตาลิต, สมาชิกบอลเชวิคดั่งเดิม (Old Bolshevik) ที่มีอายุยืนยาวที่สุด จนเกือบเห็นวาระสุดท้ายของสหภาพโซเวียต
เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1893 (ปฏิทินเก่า 10 พฤศจิกายน) ในครอบครัวเชื้อสายยิว ณ.หมู่บ้าน กาบานี (Kabany) ในเขตปกครองเคียฟ (Kiev Governorate) สมัยที่ยังเป็นจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเมืองที่เขาเกิดอยู่ในยูเครน ไม่ไกลจากเชอร์โนบิล พ่อของเขาเป็นพ่อค้าคนกลางในการซื้อขายเนื้อวัว ชื่อไมซี (โมเสส) (Моисей Гершкович Каганович) ภายในครอบครัวของเขาพูดกันเฉพาะภาษา Yiddish 
ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ทำให้มีฐานะค่อนข้างลำบาก ตอนอายุ 14 คากาโนวิช ต้องออกจากโรงเรียน มาทำงานเป็นช่างทำรองเท้า ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในโรงงานฟอกหนัง ที่เดียวกับพี่ชายของเขา (Michael Moiseevich)
1911 เข้าเป็นสมาชิกพรรคบอลเชวิค ซึ่งขณะนั้นพี่ชายของเขา มิคาอิล (Mikhail Moiseevch Kagonovich) เป็นสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว
1915 ถูกจับแล้วถูกเนรเทศกลับไปยังบ้านเกิดของเขาที่กาบานี แต่ว่าไม่นานเขาก็ลักลอบแอบเข้าเมืองเคียฟอย่างผิดกฏหมาย
1917 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ สมัครเข้าเป็นทหาร
สิงหาคม ได้รับตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการพรรคบอลเชวิคประจำเบลารุส
ช่วงการปฏิวัติตุลาคม เขาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวก่อการประท้วงในเมืองโกเมล (Gomel) ในเบลารุส
1918 เป็นคณะกรรมการด้านการโฆษณาชวนเชื่อประจำกองทัพแดง
พฤษภาคม 1918-สิงหาคม 1919 เป็นประธานเขตบริหารนิชนี นอฟโกรอด (Nizht Novgorod governorate) 
1919 ช่วงปลายปี ได้ย้ายไปดูแลเขตโวโรเนซ (Voronezh) จนถึงปี 1920
1920 ช่วงสงครามกลางเมือง ถูกส่งตัวไปยังเติร์กเมนิสถาน โดยเป็นแกนนำของบอลเชวิคในดินแดนดังกล่าวในการต่อสุ้กับฝ่ายกบฏมุสลิม (Basmachi) ซึ่งสตาลินเป็นหัวหน้าของเขาอีกที ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
1922 สตาลิน ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ (General Secretary) ของพรรคคอมมิวนิสต์ สตาลินจึงได้เสนอคนใกล้ชิดของเขาอย่างคากาโนวิช เข้าไปนั่งในคณะกรรมการสำนักเลขาธิการ หรือ ออก์บุโร (Organizational Department of the Secretariat, Orgburo) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการพรรค แต่รับผิดชอบงานด้านการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งๆ ในประเทศ ซึ่งคากาโนวิชทำงานได้เป็นอย่างดีในการช่วยในการตั้งคนที่ภักดีต่อสตาลินเข้ามาในตำแหน่งสำคัญ
1924 หลังการเสียชีวิตของเลนิน เขาได้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรรคคอมมิวนิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนจากสตาลิน
1925 คณะกรรมการพรรคได้เลือกให้เขาเป็นเลขาธิการพรรคประจำยูเครน ซึ่งเขาบริหารงานโดยใช้มาตรการที่รุนแรงเด็ดขาด ในการต่อต้านชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย พยายามจะเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรของโซเวียตไปเป็นแบบนารวมอย่างรวดเร็ว เขายึดผลผลิตและจับผู้ต่อต้านมาลงโทษ 
1926 มีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกเป็นโพลิตบุโร
1930 เป็นเลขาธิการอันดับหนึ่งของพรรคประจำเขตมอสโคว์  และกลายเป็นโพลิตบุโร เต็มตัว ซึ่งสตาลินให้ความไว้วางใจต่อคากาโนวิชอย่างมาก และมักจะปล่อยให้เขารับผิดชอบงานแทนในเวลาที่สตาลินเดินทางไปพักผ่อน
คากาโนวิช มีผลงานการเปลี่ยนแปลภูมิทัศน์ของกรุงมอสโคว์อย่างมาก อย่างการทำลายอนุสาวรีย์สำคัญหลายชิ้น การทำลายวิหาร Cathedral of Christ the Saviour วิหารของนิกายออโธดอก ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งถูกทำลายโดยการระเบิดทิ้งในปี 1931 (ถูกสร้างใหม่ในปี 1992-1994) กระทั้งมีข่าวลือว่าเขาเองต้องการทำลายวิหารเซนต์เบซิลด้วย แต่ว่าสตาลินบอกว่ายังไม่จำเป็น
แต่ว่าเขามีผลงานที่สำคัญในการสร้างระบบรถไฟใต้ดินในมอสโคว์ ที่หรูหรา และแข็งแรงทดระเบิดได้ และถูกใช้เป็นที่หลบภัยในสงครามโลก ครั้งที่ 2
1932-1933 เกิดวิกฤตคลาดแคลนอาหารในยูเครน  (Holodomor)  ช่วงเวลานี้คากาโนวิช ในฐานะรัฐมนตรีเกษตร  นโยบายการเกษตรที่ผิดผลาด เขาใช้การยึดผลผลิตส่วนเกินจากชาวนาอย่างเข้มงวด, ชาวนาที่ไม่สามารถผลิตพืชผลตามโควต้าที่กำหนดยังถูกยึดปศุสัตว์แทน นอกจากนั้นพรหมแดนของยูเครนถูกกันไม่ให้มีการอพยพของชาวนาไปยังสาธารณรัฐข้างเคียงแม้ว่าที่ดินของพวกเขาจะทำเกษตรไม่ได้ผล ผลผลิตข้าวในยูเครนลดลงเหลือ 4.3 ล้านตันจาก 7.2 ล้านตัน ในปี 1932 แม้ว่าเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดกับหลายพื้นที่ทั่วสหภาพโซเวียตที่ใช้ระบบนี้ แต่ยูเครนได้รับผลกระทบหนักที่สุดเพราะเป็นพื้นที่เกษตรสำคัญของประเทศ มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน ประเมินกันระหว่าง 1 ล้านถึง 12 ล้าน ยากที่จะบอกตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งยูเครนยุคปัจจุบันมองว่าเป็นนโยบายในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยูเครน
1935 เป็นเลขาธิการกระทรวงคมนาคม ดูแลการก่อสร้างทางรถไฟ ซึ่งเขาลงโทษผู้ที่ทำงานผิดผลาดโดยการส่งไปยังค่ายแรงงาน มีผู้โดนลงโทษหลายพันคน แต่ขณะเดียวกันแรงงานที่ทำงานก็ได้สิทธิประโยชน์ เช่น ชุดยูนิฟอร์มฟรี เงินเดือนสูง และมีโบนัสให้ด้วย 
คากาโนวิช เป็นผู้ที่นำระบบเงินบำนาญสำหรับผู้เกษียรอายุ (pension) มาใช้ในโซเวียตเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซียด้วย หากไม่รวมการให้เงินบำนาญในสมัยยังมีซาร์อยู่ เพราะตอนนั้นมีการให้เฉพาะบุคคลสำคัญของประเทศ แต่ระบบของคากาโนวิช จ่ายเงินให้กับทุกคนที่มีอายุถึงเกณฑ์
1937 ย้ายมาดูแลงานด้านการทำอุตสาหกรรมหนัก
ช่วงเวลาของ Great Purge (1937-1938) ลาซาร์ ถูกเรียกว่าเป็น Iron Lazar กล่าวกันว่าเขาเป็นคนที่เซ็นต์ในคำสั่งเกือบครึ่ง หรือ 188 หน้าจาก 357 หน้า คิดเป็นคนที่ถูกประหารกว่า 19,000 คน 
ผู้ที่เสียชีวิตในช่วงนี้เป็นสมาชิกเก่าแก่ของพรรคบอลเชวิค ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงพี่ชายของลาซาร์ 
 โบริส บาซานอฟ (Boris Bazhanov) เลขาส่วนตัวของสตาลิน บันทึกเอาไว้ว่า …..มิคาอิล คากาโนวิช ซึ่งเป็นรัฐมนตรีการบิน ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ต่อต้านโซเวียต ซึ่ง 1 มิถุนายน 1941 สตาลินถามความเห็นของลาซาร์เกี่ยวกับพี่ชายของเขา  แต่ลาซาร์บอกว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว และนิ่งเงียบในกรณีของพี่ชาย เขารู้ดีว่าพี่ของเขาจะต้องถูกสอบสวน และอาจจะถูกประหาร แต่ก็ไม่ได้เคยเตือนให้พี่ชายตัวเองทราบ  จนกระทั้งมิคาอิล ตัดสินใจที่จะยิงตัวตาย ในวันเดียวกัน
แต่ส่วนตัวแล้ว ลาซาร์ ปฏิเสธข้อกล่าวหาของบาซานอฟ เขาบอกว่าเขาได้บอกกับสตาลินว่ารายงานเกี่ยวกับพี่ชายของเขาเป็นเท็จ โกหก เพราะพี่ชายเขาทำงานให้พรรคมาอย่างยาวนาน แต่ว่าสตาลินบอกให้เขาสงบสติอารมณ์ และเบเรีย , มาเลนกอฟ ได้มาพาตัวเขาออกไปไว้อย่างอีกห้องหนึ่ง ซึ่งตัวเขาไม่ได้รับอนุญาตให้โทรหาพี่ชาย
1941 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาไปดูแลสมรภูมิด้านคอเคซัส ซึ่งในปี 1942 บริเวณที่เขากำลังทำงานอยู่ถูกโจมตีโดยการทิ้งระเบิด มีนายทหารเสียชีวิต ในขณะที่ลาซาร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขากลายเป็นสมาชิกของโพลิตบุโรเพียงคนเดียวที่บาดเจ็บในสงครามโลก เหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้รับเหรียญรางวัล Hero of Socialist Labor ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1943
1946 เป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นช่วงที่ตำแหน่งของเขาเริ่มด้อยลง
1957 พฤษภาคา ลาซาร์ , โมโลตอฟ( Vyacheslav Molotov) , มาเลกอฟ (Georgy Malenkov), เชปิลอฟ (Dmitri Shepilov) ซึ่งไม่พอใจครุสเชฟ ที่กล่าวประณามสตาลิน ได้พยายามปลดครุสเชฟ ออกจากตำแหน่ง ในการประชุมพรรคครั้งที่ 20 ซึ่งเสียของฝ่ายต่อต้านครุสเชฟ ชนะในที่ประชุมโพลิตบุโร ด้วยเสียง 7 ต่อ 4 แต่ว่าครุสเซฟอ้างว่าผู้ที่มีอำนาจปลดเขาออกจากตำแหน่งได้มีแต่คณะกรรมการกลางของพรรคเท่านั้น จึงได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการกลางในปลายเดือนมิถุนายนอีกครั้ง ซึ่งครุสเซฟ ได้ตำหนิฝ่ายแรกว่าเป็นพวกต่อต้านพรรค (Anti-party group) และครุสเชฟได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีกลาโหม ชุคอฟ (Georgy Zhukov) ซึ่งนำกำลังทหารมากดดัน จนสุดท้ายครุสชอฟ รอดจากการถูกปลดได้
ลาซาร์ ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งต่างๆ และ เขาหมดสถานะการเป็นโพลิตบุโร ในวันที่ 29 มิถุนายน และเขาถูกส่งไปทำงานเป็นผู้ดูแลโรงงานผลิตโพแทสเซียมเล็ก ๆ ในแทบยูราลเป็นการลงโทษ
1961  ลาซาร์ และกลุ่ม anti-party group ถูกไล่ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และถูกกักบริเวณอยู่แต่ภายในมอสโคว์
ภรรยาของเขาชื่อว่า มาเรีย(Maria Privorotsky,Марии Марковне Приворотской)
1991 เสียชีวิต ในวันที่ 25 กรกฏาคม 1991 ด้วยวัย 97 ปี , ไม่กี่เดือนก่อนที่โซเวียตจะตายตามไปด้วย
ร่างของเขาถูกฝั่งที่สุสาน Novodevichy cemetery ข้างภรรยาของเขา
Don`t copy text!