Happiness held is the seed.

Happiness shared is the flower.

ความสุขที่เก็บเอาไว้คือเมล็ด

ความสุขที่แบ่งปันคือดอกไม้ 

John Harrigan

Gogol

นิโคไล วาซีลเยวิช โกโกล (Николай  Васильевич Гоголь)

โกโกล หรือว่านามสกุลเมื่อตอนแรกเกิดของเขาคือ ยานอฟสกี (Яновский , Yanovsky) นิโคไล ยานอฟสกี เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1809 (ปฏิทินปัจจุบัน เป็นวันที่  1 เมษายน) และเสียชีวิตเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 1852 ( 4 มีนาคม) ในมอสโคว์  

1809 โกโกลเกิิดในเมืองโสโรชินซี (Sorochintsy) ในเขตโปลตาว่า (Poltava) จักรวรรดิรัสเีย ในยูเครนปัจจุบัน ชื่อของเขามาจากการตัั้งตามชื่อนักบุญ เซนต์นิโคไล ซึ่งมีรูปปั้นนักบุญนิโคไลอยู่ในโบสถ์ของหมู่บ้านดิกานก้า (Dikanka village) ที่เขาอาศัยอยู่

ภายในครอบครัวของเขามีความเชื่อว่าวงศ์ตระกูลของตนเองเป็นชาวคอสแซกส์โบราณในยูเครน โดยสืบเชื้อสายมาจาก ออสแตป โกโกล (Ostap Gogol) ชาวคอสแซส์กที่มีชื่อเสียง ปู่ของโกโกลเป็นที่เปลี่ยนชื่อนามสกุล มาใช้ “โกโกล” เพื่ออ้างสายเลือดคอสแซก์ส

ครอบครัวเขาเป็นเจ้าของที่ดินที่มีฐานะปานกลาง ที่ดินของพ่อแม่ที่เขาอยู่ในวัยเด็กนั้นอยู่ใกล้กับหมู่บ้านดิกานก้านี้ พ่อเขาชื่อ วาซิลลี (Vasili)

แม่ของโกโกลชื่อว่า มาเรียน อิวานอฟน่า (Maria Ivanovna, 1791-1868) เธอแต่งงานตั้งแต่อายุ 14 ปี และมีลูกทั้งหมด 11 คน เป็นชายหก หญิงหกคน โดยลูกสองคนแรกเป็นผู้ชายแต่ว่าเสียชีวิตหลังจากคลอด โกโกลเป็นลูกคนที่ 3 หลังจากโกโกล คือ อีวาน(Ivan, 1810-1819) มาเรีย (Maria, 1811-1844) และลูกที่เกิดตามมาอีกระหว่างนี้เสียชีิวิตตั้งแต่ทารก จนกระทั้งมาถึง แอนน่า (Anna, 1821-1893) อลิซาเบธ (1823-1864) และโอลก้า (Olga, 1825-1907)

1819 ตอนอายุได้ 10 ขวบ โกโกลเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำโพลตาว่า Poltava , น้องชายโกโกลที่ชื่ออีวานเสียชีวิตตอนช่วงนี้ ซึ่งมีผลกระทบต่อบุคคลิกของโกโกล

พฤษภาคม 1820– มิถุนายน 1828 เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนการศึกษาชั้นสูง(มัธยม)ที่ Nizhyn Gymnasium  เพื่อนในชั้นเรียนเรียกเขาว่าเป็น คนแคระลึกลับ (mysterious dwarf) เนื่องจากผลงานเขียนของเขาเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เพื่อนที่โรงเรียน แต่ว่าโกโกลเป็นคนที่อ่อนทางด้านภาษา แต่มีความสามารถในการวาดรูปและวรรณกรรมรัสเซีย พ่อของโกโกลเสียชีวิตระหว่างที่เขากำลังเรียนอยู่ที่

เขาออกจากโรงเรียนในปี 1828  และย้ายมายังเซนต์ปีเตอร์เบิร์กในเดือนธันวาคม ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะทำงานเขียนหนังสือ แต่ว่ามันไม่ประสบความสำเร็จ เข้าจึงได้สมัครเข้าทำงานที่กระทรวงมหาดไทย กรมทรัพย์สินและอาคารสาธารณะ (Ministry of Domestic Affairs, department of state property and public building) และได้เข้าทำงานตอน

เมษายน 1930 1830 โกโกลมีผลงานตีพิมพ์ลงในแมกกาซีน Native Notes (Отечественных записках) โดยใช้นามปากกาว่า Basavryuk

Nigth before Ivana Kupala ( Вечер накануне Ивана Купала)

ตั้งแต่เดือนธันวาคม วรรณกรรมที่สร้างชื่อให้โกกอล Hetman (Гетьман)ถูกนำบางส่วนไปลงในหนังสือพิมพ์ชื่อ Literary Gazette (Литературная Газета) และ The Northern Flowers( Северные цветы) ทั้งคู่เป็นของของบารอน เดลวิก (Baron Delvig)  นั้นทำให้โกโกลมีสถานะใกล้เคียงกับพุชกิ้นและซูคอฟสกี

โกโกลได้รู้จักกับพุชกิ้นในปี 1831 ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนกันจนตลอดชีวิต

1834 เขาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานเป็นผู้ช่วยในแผนประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในปีนี้เขาเริ่มวางโครงเรื่องของ Taras Bulba (Тарас Бнльба) , แต่ว่าเขาทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยไม่นาน  จนปี  1835 ก็ตัดสินใจที่จะลาออกเพราะว่าต้องการอุทิศเวลาให้กับการเขียนหนังสืออย่างจริงจัง ในปีนี้ Taras BulbaViy และหนังสือรวมเรื่องสั้น Arabesques ได้ถูกตีพิมพ์

เขายังมีผลงานเขียนเรื่องสั้นแนวกาตูนย์ อย่าง The Nose,  The Tale of How Ivan Ivanovic Quarrelled with Ivan Nikiforovic 

โกโกลส่งฉบับร่างของ The Death Souls ให้พุชกิ้นลองอ่านดูด้วย แต่่่ว่ากว่าที่มันจะเสร็จสมบูรณ์ก็เข้าปี 1842

เขาหัดเขียนบทละครเวที The Government Inspector (Ревизор) มันถูกแสดงในปี 1836 ในมอสโคว์ และตีพิมพ์ในแมกกาซีน The Contemporary (Современнике) ที่เขาร่วมทำกับพุชกิ้นด้วย และไม่นานหลังจากการแสดง 

มิถุนายน 1836 เขาก็เดินทางออกจากรัสเซียบ้านเกิดไปยาวนานถึง 12 ปี แต่กลับมาเยี่ยมบ้างในเวลาสั้นๆ ระหว่างนี้ เขาไปยังสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และฤดูหนาวไปยังปารีสพรรคอยู่กับนักเขียน ชื่อ ดานิเลฟสกี (A. Danilevsky)  เขานำงานเขียนที่ค้างเอาไว้เรื่อง The Dead Souls มาเขียนต่อ  ช่วงนี้เขาทราบข่าวการเสียชีวิตของพุชกิ้น มันมีผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างมาก

พฤษภาคม 1837 เขาเดินทางไปกรุงโรมที่โรมเขาสร้างผลงานอมตะ เรื่อง The Dead Souls (Мёртвые души ) เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจากการสนธนากับพุชกิ้นตั้งแต่ปี 1835  โกโกลชอบกรุงโรมมาก เพราะมันห่างไกลจากความวุ่นวายของยุโรป และมีศิลปะอยู่เต็มไปหมด เขาใช้เวลาในการศึกษาภาพเขียน รูปปั้นโบราณ ระหว่างที่อยู่ที่โรมเขาทำงานเขียนอย่างหนักมาก เขาเดินทางกลับมารัสเซียเป็นช่วงสั้นๆ ในปี  1839-1840

ตุลาคม 1841 เขาเดินทางกลับมารัสเซียอีก เขาเริ่มอ่าน The Dead Souls ตอนที่สอง ในส่วนที่เขียนเสร็จแล้วให้เพื่อนฟัง  ในเดียวกันก็เตรียมการพิมพ์ตอนแรกเรื่องออกมา  

1842 The Dead Souls ตอนแรกก็ถูกพิมพ์เป็นหนังสือ และเรื่องสั้นอย่าง The Overcoat (Шинель) ก็ถูกพิมพ์ด้วยในปีนี้

1847 เขาพิมพ์หนังสือเรื่อง Chosen Excerpts form Friends’ Correspondence (Выбранные места из переписки с лрезьями) แต่่ว่ามันได้รับเสียงตำหนิจากเพื่อนๆ ของเขามากกว่า โกโกลเป็นคนที่อ่อนไหวกับคำวิจารณ์มาก และบางคนก็ว่ามันเป็นเพราะเขามีปัญญาทางจิตทำให้เขียนผลงานที่วิจารณ์สังคมรัสเซียเช่นนี้  เขาเดินทางไปอยู่ในเนเปิ้ล (Naples) ในช่วงฤดูหนาว โดยใช้เวลาในการพักผ่อน และเริ่มวางแผนการสำหรับการเดินทางแสวงบุญ  โกโกลตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาอย่างมาก และก็เคยคิดที่จะบวชแต่ก็ล้มเลิกไปและตัดใจรับใช้พระเจ้าด้วยตัวหนังสือแทน ตัวเขาเองไม่เห็นว่าการเลิกทาสเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะมันมีอยู่ในไบเบิ้ล แต่ว่าก็ไม่ได้ต่อต้านการปฏิรูป

มกราคม 1848 เขาไปเดินทางไปยังเยรูซาเรม และปาเลสไตน์ โดยใช้เส้นทางทะเล และหลังจากการแสวงบุญเขาก็กลับรัสเซียในเดือนเมษายน และยังคงใช้ชีวิตในสามเมืองคือบ้านเกิด มอสโคว์และเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก

ช่วงปี 1849-1850 เขาเคยขอผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแอนนา เวียลฮอร์สกี (Anna Wielhorski) แต่งงานแต่่่ว่าเธอปฏิเสธ อย่างไรก็ตามเขาก็เข้มแข็งและไม่ได้เสียใจอะไรมากนัก แต่เดินทางไปยังโอเดสส่า ในเดือนตุลาคม เพื่อปรับอารมณ์ และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆกับงานเขียน

ฤดูใบไม้ร่วง 1851 เขาพักอยู่ที่บ้านของตอลสตอย บ้านหมายเลข 7  ที่นิกิตสกีบูเลอร์วาร์ด ( Nikitsky Boulevard )ดูเหมือนงานเขียนเรื่อง The Dead Souls ยิ่งทำให้เขามีปัญหาด้านจิตใจ เพราะมันมีความขัดแย้งกับความเชื่อในศาสนาคริสต์ของเขา

พฤษภาคม 1851 เดินทางกลับมามอสโคว์ เขาอ่านบทที่สองของ The Dead Souls ให้เพื่อนๆ ฟังรวมแล้ว 7 บท เขาแจ้งเพื่อนๆ ว่าเขาเขียนมันใกล้สมบูรณ์แล้วในมกราคม 1852 แต่ว่าอาการป่วยในจิตใจก็มาเยือนเขาอีก เขามีอาการอยากฆ่าตัวตาย

มกราคม 1552 ที่บ้านของตอลสตอย เขาได้พบกับบาทหลวงแมธิว คอนสแตนติน (Archpriest Matthew constantine) ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวที่ได้อ่านต้นฉบับสมบูรณ์ตอนที่ 2 ของ The Dead Souls แต่่ว่าบาทหลวงกลับเห็นว่าเขาไม่ควรจะตีพิมพ์มัน หรือไม่ก็เผามันทิ้งซะ

12 กุมภาพันธ์ 1852 เขาใช้ไฟเผาต้นฉบับส่วนที่ 2 ของ  The Dead Souls ทิ้ง ทำให้มี 5 บทที่ไม่สมบูรณ์ยังคงหลงเหลือมาเท่านั้นจากงานร่างหลายๆ ชิ้นที่รวบรวมมา และถูกตีพิมพ์ในปี 1855 หลังจากหนังสือถูกเผาแล้วเขาก็ล้มป่วย และปฏิเสธการกินอาหาร

21 กุมภาพันธ์ (4 มีนาคม) เขาเสียชีวิตในอพาร์ตเมนต์ในมอสโคว์

Taras Bulba And Other TalesThe Testament Of Nikolai Vasilievich Gogol - It Is My Will That My Body Not Be Buried Until... (Dmitriev)Dead Souls

Don`t copy text!